Na Na Sa Ra [นานา สาระ]

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีช่วยลูกให้ประสบความสำเร็จในการเรียน

หนักข้อมูลเรื่องการเรียนการสอนจนบางคนคิดว่าเป็นคุณแม่ที่เป็นคุณครูไปซะแล้วนะเนี่ย จริง ๆ แล้วไม่ใช่นะคะ แค่มีลูกอยู่ในวัยเรียนแล้วคงคิดว่าทุกคนคงประสบปัญหาเดี่ยวกัน พอเจออะไรดี ๆ ก็เอามาให้ได้อ่านกัน คราวนี้เรามาคุยกันด้วยเรื่อง เรามีส่วนจะทำให้ลูกประสบผลสำเร็จในการเรียนยังไง ไปดูข้อมูลกันดีกว่าค่ะ

การเตรียมความพร้อมมีส่วนสำคัญมาก คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะมองหาโรงเรียนชื่อดัง ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมาก เพื่อให้ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีๆ แต่นั่นไม่ใช่หลักประกัน หรือเป็นการเตรียมพร้อมในการเรียนที่จะทำให้ลูกประสบความสำเร็นในชีวิต

แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความอยากรู้อยากเรียน ปรับตัวเข้ากับเพื่อนฝูงได้ และกล้าแสดงออก มีข้อแนะนำในการเตรียมตัวลูกตั้งแต่เล็กๆ ดังนี้

ให้ลูกเห็นว่าคุณชอบการอ่านหนังสือและหาเวลาอ่านหนังสือให้ลูกหรืออ่านหนังสือด้วยกัน
พยายามให้มีหนังสือต่างๆ ที่เด็กจะชอบอ่านอยู่ในบ้าน
พยายามฝึกให้เด็กรู้จักช่วยตนเองในการทำสิ่งต่างๆ แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้เขาทั้งหมด การที่คุณเปิดโอกาสให้ลูกได้พยายามทำอะไรเองบ้าง แม้ว่าจะไม่ทันใจคุณ แต่ในเวลาไม่ช้าไม่นานคุณก็จะได้เห็นผลดีที่คุณได้ฝึกให้ลูก
คุณสามารถช่วยให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น โดยการช่วยแบ่งขนาดของงานต่างๆ ให้เป็นส่วนๆ ที่เด็กจะทำให้สำเร็จได้โดยง่าย และปล่อยให้ลูกทำเองทีละส่วน ซึ่งคุณสามารถนำมาใช้กับเรื่องต่างๆ เช่น การแต่งตัวเอง การทำความสะอาดบ้าน การทำการบ้านที่ค่อนข้างมาก ฯลฯ
ฝึกลูกให้มีความสม่ำเสมอในการทำสิ่งต่างๆ โดยการจัดตารางการทำงานต่างๆ ในบ้านโดยการร่วมกันทำตารางการทำงานต่างๆ กับลูก ทำบันทึกเป็นตารางการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน และช่วยกันทำเมื่อถึงกำหนด
ควรมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมในบ้าน ที่ลูกๆ และทุกคนทราบและร่วมกันปฏิบัติ เช่น ไม่มีการเข้านอนโดยไม่อาบน้ำแปรงฟันก่อนนอน ไม่พูดคำหยาบ ทานอาหารเสร็จแล้วต้องช่วยกันเก็บจาน ฯลฯ ซึ่งคุณควรจะคอยกำกับให้ลูกๆ ทุกคนยึดถือและปฏิบัติตาม
ไม่ควรปล่อยให้ลูกดูทีวีได้ตามใจชอบ ควรมีการกำจัดเวลาและรายการทีวีที่ลูกจะดู เพื่อให้ลูกรู้จักการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการทำงานบ้าน ทำการทบทวนหนังสือ หรือแม้แต่พักผ่อน ออกกำลังกาย หรือใช้เวลาพูดคุยกันบ้าง ฯลฯ และในขณะที่ลูกดูที คุณก็ควรจะใช้เวลาดูทีวีด้วยกัน และช่วยให้ข้อคิดกับลูกบ้าง เมื่อคุณเห็นเรื่องต่างๆ ที่จะใช้เป็นแง่คิด มุมมองที่จะสื่อถึงการดำเนินชีวิต หรือการปฏิบัติตนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสอนลูกไปด้วยกลายๆ ซึ่งลูกจะได้ซึมซับความรู้สึกนึกคิดของคุณในแง่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
การทำการบ้าน
การทำการบ้านที่คุณครูให้ลูกมาทำที่บ้านนั้นมีความหมายมาก กว่าการที่จะมีการบ้านเสร็จในสมุดทันเวลา ที่จะส่งคุณครูในวันรุ่งขึ้น ซึ่งคุณควรที่ช่วยลูกในการทำการบ้านได้ด้วยตนเอง ดังนี้
คุณควรเน้นกฎเกณฑ์ที่ให้ลูกรู้ว่า การทำการบ้านนั้น เป็นความรับผิดชอบของลูก และจะต้องทำให้เสร็จเรียบร้อย โดยไม่มีข้อยกเว้น
ควรจัดหามุมสงบที่ลูกแต่ละคนจะได้นั่งทำการบ้าน โดยไม่รบกวนกัน เพื่อที่ลูกจะได้มีสมาธิในการเรียนและทำการบ้าน
ในบางครั้งคุณอาจจะอยากให้ลูกได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ในช่วงเวลาว่างบ้าง เช่น การเรียนดนตรี การเล่นกีฬา การออกไปทานข้าวนอกบ้านกัน ฯลฯ ซึ่งคุณควรช่วยลูกในการจัดตารางเวลาของเขาให้เหมาะสมลงตัวในแต่ละวัน โดยมีเวลาพอที่ลูกจะได้ทำการบ้านด้วย
ให้ลูกทราบว่าคุณมีความเชื่อมั่นในตัวเขา พยายามมองถึงความสำเร็จที่ลูกเคยทำได้มาแล้ว อาจจะเป็นการแข่งขันว่ายน้ำ การประกวดวาดภาพ การร้องเพลง ฯลฯ หรือแม้แต่การพยายามทำงานที่ยากๆ ให้สำเร็จ และพูดให้กำลังใจแก่ลูกในการทำงานต่างๆ ที่ยากขึ้นในอนาคต
อย่าคาดหวังให้ลูกทำงานได้สำเร็จอย่างดีเยี่ยมทุกครั้ง เมื่อลูกแสดงผลงานต่างๆ ที่เขาได้ทำให้คุณดู ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดง่ายๆ หรือการบ้านเลข คุณควรแสดงความสนใจในสิ่งที่เขาทำ และกล่าวชมเขาในสิ่งที่ดีที่คุณมองเห็นว่าเขาได้ทำ และความพยายามที่เขาได้ลงแรงลงใจทำงานชิ้นนั้นได้สำเร็จ ถ้าคุณจะกล่าวคำแนะนำหรือให้ความเห็นของคุณ ควรเลือกวิธีการพูดที่เป็นเชิงบวก และสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้ลูกมีกำลังที่จะทำต่อไป
การสอนลูกที่บ้าน
คุณพ่อคุณแม่ควรจะปลูกฝังความคิดที่ว่าการศึกษาหาความรู้นั้นเป็นช่องทางที่สำคัญที่จะทำให้ลูก ได้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่ดีในชีวิตข้างหน้าของเขา ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้คือ

คุณต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง จงยึดหลักว่าคุณจะทำในสิ่งที่คุณพูดสั่งสอนลูก ถ้าคุณจะให้ลูกรักการอ่าน การทำงาน คุณก็ต้องทำตัวให้ลูกเห็น ไม่ใช่ว่าสั่งให้ลูกดูหนังสือห้ามดูทีวี แต่ตัวคุณเองนั่งดูแต่ละครทีวี หรือบังคับให้ลูกต้องทำการบ้านให้เสร็จ แต่ตัวคุณเองไม่เคยทำงานที่ต้องรับผิดชอบให้เสร็จเลย ฯลฯ
ควรพูดถึงเรื่องการเรียนรู้ว่า คนเราสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ทุกวันตลอดเวลา และแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณเองก็มีความใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาเรื่องต่างๆ เช่นกัน
พยายามทำการเรียนรู้ร่วมกันกับลูกให้เป็นเรื่องที่น่าสนุก เช่น การเล่นเกมส์ อ่านหนังสือสนุกๆ ด้วยกัน และฝึกตั้งคำถาม ฯลฯ แม้แต่การเล่าเรื่องต่างๆ จากที่ทำงานของคุณให้ลูกฟัง และสอดแทรกแง่คิด สิ่งที่น่าเรียนรู้เข้าไว้ด้วย ก็จะเป็นประโยชน์กับลูกได้มาก
นอกจากการให้เด็กได้เรียนรู้โดยการอ่านหนังสือหรือทำการบ้านเองอย่างเงียบๆ บนโต๊ะของเขาแล้ว เด็กๆ ควรได้หัดที่จะเรียนรู้อย่าง "active learning" ด้วย คือ
ให้เด็กได้ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยการลงมือทำเองบ้าง (เช่น การทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ที่บ้าน ย่อมน่าตื่นเต้นกว่าการเอาตำราวิทยาศาสตร์มาอ่านเอง) ควรฝึกให้ลูกได้คิดตั้งคำถามและฝึกหาคำตอบในเรื่องต่างๆ แม้ว่าบางครั้งคุณหรือเขาจะเป็นผู้ตอบ ก็อย่าปล่อยให้โอกาสของการเรียนรู้ผ่านไปง่ายๆ โดยการตอบเพียงแต่ว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"
ฝึกคิดแก้ปัญหา
มีการนำเอาเรื่องต่างๆ มาอภิปรายพูดแสดงความเห็นหรือเหตุผลที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน
สนับสนุนให้เล่นกีฬา หรือใช้เวลาว่างไปสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ (เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ ฯลฯ) เพื่อจะได้เป็นการเปิดหูเปิดตา
ควรให้ลูกได้มีโอกาสใช้เวลาว่างอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง เพื่อฝึกฝนการเข้าสังคมและได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ จากเพื่อนๆ บ้าง
บทบาทที่คุณมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของลูกและให้กำลังใจเขาเพื่อให้เขาได้เรียนรู้วิธีที่จะประสบความสำเร็จ ในการเรียนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยคุณควรจะสื่อสิ่งที่คุณอยากจะบอกกับลูก ให้เขารับรู้ในสิ่งต่อไปนี้คือ
ให้ลูกได้รับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์และเป้าหมายในชีวิตของคุณ ลูกไม้มักหล่นไม่ไกลต้น เด็กๆ จะซึมซับความเป็นคุณจากการเห็น รับฟังในสิ่งที่คุณพูดคุณทำ เขาควรจะได้รับรู้ในความพยายาม และการลงแรงกายแรงใจในสิ่งต่างๆ ที่คุณทำ และควรจะได้เห็นว่าคุณทำงานหนักแค่ไหน รวมทั้งการวางแผนในการทำงานเพื่อให้งานนั้นๆ สำเร็จ
พยายามจัดกฎเกณฑ์และระเบียบในบ้านที่เหมาะสมและทุกคนร่วมมือกันในการรักษากฎเหล่านี้ได้ เด็กๆ ต้องการกรอบบางอย่างในการที่จะเรียนรู้ว่าสิ่งใดที่เขาจะคาดหวังได้ และจะมีผลออกมาอย่างไร แม้ว่าบางครั้งเด็กๆ อาจจะต่อต้านกับการบังคับใช้กฎเกณฑ์เหล่านี้บ้าง แต่ก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่จะสามารถฝึกลูกให้เข้าใจการปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และเคารพกฎในบ้าน ก่อนที่ตนเองจะต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก
ควรหัดให้ลูกหัดคิดถึงอนาคตของเขาบ้าง เด็กๆ ต้องการการฝึกให้คิดถึงเรื่องต่างๆ ของเขาในอนาคต อย่างที่มีพื้นฐานในความเป็นจริงของครอบครัว และคาดหวังในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ในอนาคต ซึ่งเขาควรที่จะได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาคาดหวังไว้จะได้สำเร็จสมดังหวังหรือไม่ เขาควรจะได้มีส่วนร่วมในการวางแผนอนาคตและตัดสินใจในบางเรื่อง เช่น ถ้าเขาต้องการทำการบ้านในเสร็จเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวชายทะเลในช่วงวันหยุดพิเศษสุดสัปดาห์ เขาอาจจะต้องยอมอดเล่นบอล หรืออดดูทีวี เพื่อจะได้ทำการบ้านได้จนเสร็จ ฯลฯ

ป้ายกำกับ: , ,

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก