Na Na Sa Ra [นานา สาระ]

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Skill ที่คน IT ควรมี

Skill ที่คน IT ควรมี


จากที่ได้คุยกับผู้ประกอบการหลายๆรายที่ทำทางด้าน Software Development และธุรกิจที่เกี่ยวกับ IT ปรากฎว่าปัจจุบันคุณภาพโดยรวมของบุคลากร IT ที่จบใหม่ลดลงเป็นอย่างมาก บทความนี้เลยขอพูดถึง ทักษะพื้นฐานที่เราๆ ท่านๆ ควรมีไว้เวลาทำงานจะได้ไม่ลำบาก




1. Technical Skill (ทักษะทางด้านเทคนิค) เกี่ยวกับวิชาชีพล้วนๆ ดังนี้

Database Skill พวก SQL Command และ DBA เบื้องต้นเพาะทุกโปรแกรม ทุกหน่วยงานล้วนต้องมีฐานข้อมูลไว้เก็บข้อมูลของตัวเอง ดังนั้นถ้าไม่เป็นอาจเค้าแย่ครับ พวกคำสั่ง select, insert, update, delete ออกสอบตอนสมัครงานก็บ่อยครับ
Windows Programming เลือกเอาซักภาษาตามถนัดเช่น C, C++, VB, VB.NET, C#.NET, JAVA ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและงานที่เจอ แถมได้พวก Algorithm เวลาเขียนไปด้วย ที่สำคัญดู Trend ด้วยว่าช่วงนี้ภาษาอะไรที่ตลาดต้องการ
Web Programming อันนี้แล้วแต่ชอบเหมือนกัน PHP, JSP, ASP.NET ถ้าต้องการแค่รับ Job เล็กๆ ก็เลือก PHP แต่ถ้าจะทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ ที่พัฒนาด้าน Enterprise Software ก็ควรเลือก JSP (J2EE) หรือ .NET ดีกว่าครับมีอนาคตดี
Report Tools ทุกงานต้องมีการแสดงรายงาน หัดใช้ดูซักตัวสองตัวได้ไม่ว่ากันครับ เช่น Crystal Report, iReport
MS.Office พวกโปรแกรมตระกูล Office ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น MS.Word(ทำเอกสาร), MS.Excel(ตารางคำนวณ), MS.Powerpoint(การนำเสนอ) และ MS.Access(ฐานข้อมูลขนาดเล็ก) มีหลายๆที่เหมือนกันที่ต้องการแค่งานเล็กๆ เขียนแค่ Macro หรือ VBEngine ใน MS.Excel หรือ MS.Access
การใช้พวกอุปกรณ์สำนักงาน เช่น Fax, Printer, Scanner, Copier บางคนใช้แต่คอมพ์แต่ส่ง Fax ไม่เป็นเสียเวลาไปอีก
OS และ Network เช่นการแก้ปัญหาเบื้องต้นเมื่อเจอ virus , การลงโปรแกรมใหม่ การแชร์ไฟล์เป็นต้น


2. Soft Skill (ทักษะด้านบุคลิคภาพ)

การนำเสนอ การพูดกับเพื่อน กับผู้ใหญ่ กับลูกค้า กับลูกน้อง พูดในที่ประชุม สำคัญต่อความก้าวหน้าในสายงานอย่างยิ่ง
การเขียนรายงาน การส่งเมล์ พวกนี้เค้ามีหลักวิธีปฏิบัติอยู่ทำเป็นเล่นไม่ได้นะครับ
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ อย่าลืมว่าต้นไม้จะโตได้ต้องมีน้ำเลี้ยง และร่มเงาจากต้นไม้ต้นอื่นเกื้อกูลกัน
การทำงานเป็นทีม ค่อนข้างเป็นปัญหากับคนที่เก่งมากๆ ชอบฉายเดี่ยว ทำงานเป็นทีมไม่เป็น
การเจรจาต่อรอง ใช้ตั้งแต่ตอนสมัครงาน ทำงาน จนถึงออกจากงานเลยครับ
3. ทักษะด้านอื่นๆ

การศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดนิ่งถือว่าเรากำลังถอยหลัง เพราโลกไม่หมุนย้อนกลับ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา J2ME, JEE5, Struts, Spring Framework, WebServices, BPEL ยังมีอีกมากที่ต้องค้นหา
การเข้าไปมีส่วนร่วมในโลก Cyber (Social Network & Community) มีผลกับภาพลักษ์ของเราเวลาสมัครงานหรือติดต่องานพอสมควร
“การเป็นคนที่สมบูรณ์นั้น ต้องไม่อยู่นิ่ง มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา”

โดย: Mr.Mercury >>http://www.mercurysofts.com/2009<<


เขียนโดย go2jame เวลา 9:54 ก่อนเที่ยง

ป้ายกำกับ: Other


0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น

ลิงก์ไปยังบทความนี้
สร้างลิงก์

บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: ส่งความคิดเห็น (Atom)
อัพเดตข่าวไอที
Manager Online - Cyberbiz
'บิล เกตส์'เลิกใช้เฟสบุ๊ก
12 นาทีที่ผ่านมา duocore / เรื่องเด่น
iPhone แบตหมดเร็ว แก้ได้นะ ทดสอบแล้วบน iPhone 3G OS 3.0 | iPhone Mod
3 ชั่วโมงที่ผ่านมา Pantip.com :IT NEWS
Forza 3 ออกจำหน่าย 27ตุลาคมนี้
6 ชั่วโมงที่ผ่านมา Blognone
KDDI กำลังพัฒนาใยแก้วนำแสงที่ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงที่สุดในโลก
22 ชั่วโมงที่ผ่านมา Official Google Thailand Blog
สำรวจสถานที่สุดโปรดของเหล่าคนดังของไทยและทั่วโลก บน Google Maps ประเทศไทย
1 สัปดาห์ที่ผ่านมา technology - Zickr!
ฟังสัมภาษณ์เทคนิคการนำไอที เข้ามาช่วยลดต้นทุน-เพิ่มศักยภาพในการทำูธุรกิจของคุณ
2 เดือนที่ผ่านมา ค้นหาบล็อกนี้

thanks you: http://googlecando.blogspot.com/2009/07/skill-it.html

ป้ายกำกับ:

รหัสผ่านยอดฮิต

รณรงค์กันไม่รู้กี่รอบ แต่ดูเหมือนว่าผู้ใช้ทั่วไปจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องรหัสผ่านสักเท่าไร ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องที่ควรสนใจมากที่สุด


เว็บไซต์ส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้ใช้ตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัยโดยอิงจากจำนวนอักษรเป็นหลัก ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร เพราะมีการเอาข้อความง่ายๆ มาใช้ หลายครั้งมีการแจ้งเตือนให้ทราบว่ารหัสผ่านที่ตั้งเอาไว้นั้นช่างเดาง่ายเสียเหลือเกิน แต่ผู้ใช้จำนวนมากก็ไม่สนใจ

และนั่นเป็นที่มาของการเก็บสถิติรวบรวมเอารหัสผ่านกว่า 28,000 รายการที่ถูกขโมยจากเว็บไซต์ในสหรัฐฯ มาวิเคราะห์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เชื่อว่าไม่ต่างจากนิสัยคนไทยซักเท่าไรตามที่ได้เคยสอบถามคนรู้จักหลายๆ คน

ลองมาดูกันว่า รหัสผ่านยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่ตั้งกันนั้น .. เดาได้ง่ายขนาดไหน

16 เปอร์เซ็นต์: ใช้ชื่อของตัวเองเป็นรหัสผ่าน บางทีก็อาจเปลี่ยนเป็นชื่อของลูกๆ หรือคนใกล้ชิดในครอบครัว เช่น สามี หรือภรรยา เป็นต้น
14 เปอร์เซ็นต์: ใช้รหัสผ่านแบบชุดแป้นพิมพ์ที่ติดกัน เช่น 1234, 123456, 1234567 หรือ qwerty เป็นต้น
5 เปอร์เซ็นต์: ใช้ชื่อดาราหรือตัวการ์ตูนโปรดมาแทนรหัสผ่าน
4 เปอร์เซ็นต์: คนที่เรียบง่ายเหล่านี้ใช้รหัสผ่านว่า password -- ตรงความหมายดี
3 เปอร์เซ็นต์: ใช้ถ้อยคำแสดงอารมณ์ความรู้สึก เช่น whatever, yes, no, iloveyou, ihateyou เป็นต้น
สรุปแล้ว 42 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้น ใช้รหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย และเดาได้ง่ายมาก ซึ่งจะนำพาไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขโมยข้อมูล หรือสร้างความเสียหายด้านการเงินจากแฮกเกอร์ที่ต้องการรหัสผ่านเป็นใบเบิกทาง

บริษัท Errata Security ที่ทำงานวิจัยชิ้นนี้แนะนำว่า รหัสผ่านที่ดีควรยาวเกิน 8 ตัวอักษร และมีทั้งตัวหนังสือ ตัวเลข และสัญลักษณ์ผสมกัน

อ้อ! แล้วก็อย่าตั้งให้ยากเกินจนจำไม่ได้ เลยต้องติดรหัสผ่านเอาไว้ข้างๆ มอนิเตอร์ด้วยโพสต์อิต .. เพราะนั่นยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ครับ

ป้ายกำกับ:

แค่ลากเมาส์"บราวเซอร์"ก็เชื่อฟัง?

"คงสนุกดีเหมือนกันนะครับ ถ้าหากแค่เราลากเมาส์ไปมา ก็สามารถเปิด หรือปิดแท็บ ไปหน้าเว็บก่อนหน้านี้ หรือหน้าถัดไป ตลอดจนรีเฟรชหน้าเว็บในบราวเซอร์ได้เลย ทั้งหมดนี้ไม่ได้โม้ แต่เป็นเรื่องจริงที่คุณผู้อ่านสามารถลองทำได้...ไม่ยากเลย"



Gesture Control รูปแบบการควบคุมด้วย “ท่าทางที่เป็นสัญลักษณ์” กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น จากสิ่งที่เห็นในภาพยนต์เรื่อง Minority Report ที่ ทอม ครูส พระเอกของเราสวมถุงมืออินพุท ก่อนที่จะขยับมือทำท่าทางต่างๆ กลางอากาศ เพื่อโยกย้ายถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลจนดูน่าอัศจรรย์ในวันนั้น แต่สำหรับวันนี้เทคโนโลยีดังกล่าวดูช่างเป็นเรื่องธรรมดาซะเหลือเกิน...


ก่อนหน้านี้ โตชิบา (Toshiba) ได้ออกโน้ตบุ๊กในซีรียส์ Qosimo ที่สามารถใช้สัญญาณมือ (Hand Gesture Control) เพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายพอยน์เตอร์ และหน้าต่างบน Windows ตลอดจนสั่งเล่น หรือหยุดวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ได้ด้วยมือเปล่า เรียกได้ว่า ไม่แพ้พี่ทอมกันเลยทีเดียว


นอกจากการใช้สัญญาณมือแบบนี้แล้ว ทางด้าน Apple ก็ได้เพิ่มคุณสมบัติการทำงานลักษณะนี้เข้าไปในแทร็คแพด (Trackpad) ของแม็คบุ๊ก (MacBook) โดยผู้ใช้สามารถลากนิ้วมือ (มากกว่าหนึ่งนิ้วก็ได้) ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ OS ตอบสนองการทำงานในลักษณะที่ต้องการเช่น เลื่อน, หมุน, ซูม และคลิ้ก เป็นต้น ซึ่งการทำงานลักษณะนี้กับทัชแพด (Touchpad) ของโน้ตบุ๊กบางรุ่นก็มีแล้วเหมือนกัน





ว่าแต่โม้มาตั้งนานแล้ว มันเกี่ยวอะไรกับบราวเซอร์ Google Chrome ล่ะ เรื่องของเรื่องก็คือ ผมจะชวนคุณผู้อ่านให้มาลองของด้วยการใช้ปลั๊กอิน Gesture Control เพื่อควบคุมการทำงานของ Chrome ด้วยการเลื่อนเมาส์ (Mouse) ในรูปแบบต่างๆ นั่นเอง

ป้ายกำกับ:

ซอฟต์แวร์ไทย จะไปยุโรป

“อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยมูลค่ากว่า 62,900 ล้านบาท มีเม็ดเงินที่คิดเป็นการลงทุนของซอฟต์แวร์ในประเทศแค่ 367.24 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.58% เท่านั้น ยังไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป ขณะที่ปัจจุบันยอดส่งออกซอฟต์แวร์ไทยยังแค่ 4,500 ล้านบาท หากแต่ปีนี้ “โอกาส” สำหรับซอฟต์แวร์ไทยกำลังเป็นกราฟขึ้น เพราะมีหน่วยงานที่พร้อมจะสนับสนุนมากมายในรอบหลายปี”


สุวิภา วรรณสาธพ ผู้อำนวยการ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค อัพเดตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยในสายตาต่างชาติ ให้ฟังว่า “การ์ตเนอร์กรุ๊ป” ได้ประกาศให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 30 ประเทศทั่วโลก เป็นแหล่งรับพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความน่าสนใจมากที่สุดโดยยกให้ไทยเป็น "New Comer" ซึ่งถือเป็นปีแรกที่ไทยได้เข้าไปมีบทบาทสร้างชื่อในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ระดับโลก

"ถือเป็นปีแรกที่ไทย กำลังได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้น ทำให้ตลาดในยุโรปให้ความสนใจประเทศในเอเชียเป็นพิเศษ โดยไทยเองก็มีหลายประเทศมองเห็น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐาน CMMI ซึ่งเป็นการให้มาตรฐานของบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วโลก ขณะนี้เราอยู่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งสิ้นปีนี้เราหวังว่าจะขึ้นไปเป็นที่ 2 ในระดับภูมิภาคให้ได้"

ปัจจุบันมีบริษัทซอฟต์แวร์ในไทยราว 24 บริษัทที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าว โดยสิ้นปีนี้ คาดว่า จะมีเพิ่มขึ้นเป็น 40 บริษัท

ส่งซอฟต์แวร์บุกยุโรปปีแรก

ล่าสุด ปีนี้ซอฟต์แวร์พาร์คได้วางแนวทางการรุกตลาดเข้าสู่ยุโรปอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานซีบีไอ (Centre for the promotion of Imports from developing countries: CBI) คัดเลือก 8 บริษัทซอฟต์แวร์ไทยเพื่อเป็นกลุ่มแรกในการทำตลาด

โดยซีบีไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เป็นองค์กรอิสระขึ้นตรงกับหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศ และมีบทบาทในการพัฒนา ช่วยเหลือการพัฒนาทางด้านการค้า การผลิต การส่งออก ผ่านรูปแบบของการฝึกอบรมทักษะ ที่ปรึกษา การให้เงินสนับสนุน และเป็นองค์กรที่มีพันธมิตรในต่างประเทศทั่วโลก

ข้อตกลงนั้นทางซีบีไอกับซอฟต์แวร์พาร์คจะอยู่ภายใต้สัญญาความช่วยเหลือ 6 ปี คือตั้งแต่ปี 2008-2014 ในชื่อโปรแกรม "CBI IT outsourcing Export Coaching Program"

โครงการนี้ จะเน้นให้ความช่วยเหลือ และเตรียมความพร้อมให้บริษัทซอฟต์แวร์ที่มีศักยภาพในประเทศไทยสามารถเข้าไปทำตลาดในสหภาพยุโรปได้ รวมทั้งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงเทคนิค การตลาด กฎหมาย และจัดหากิจกรรมทางด้านการตลาด เพื่อจัดทำกลยุทธ์และยกระดับความสามารถเทียบเท่ามาตรฐานซอฟต์แวร์ของประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป

เบื้องต้นทางซีบีไอ ได้เข้ามาคัดเลือกตัวแทนซอฟต์แวร์ของไทย โดยความร่วมมือของซอฟต์แวร์พาร์ค และมีบริษัทที่ผ่านการประเมินในปีนี้จำนวน 8 บริษัท ได้แก่ เอ็มเฟค ผู้พัฒนาและให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่, เอสเอสซี โซลูชัน ผู้นำทางด้านกรีน ซอฟต์แวร์ในระดับโลก โดยเฉพาะโซลูชันด้านการจัดการน้ำ, บริษัทเอไอซอฟต์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านซอฟต์แวร์เพื่อการท่องเที่ยว ระบบการจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ต, บริษัททีมเวิร์ค ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ทางด้านคอราบอเรทีฟ, บริษัทพร้อมท์นาว ผู้ผลิตเกมบนโทรศัพท์มือถือ

บริษัทไทยเควส ผู้นำทางด้านซอฟต์แวร์การจัดการด้านข้อมูลต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีของเสิร์ชเอ็นจิ้นอัจฉริยะ, บริษัท สุวิเทค (SUVITECH) ผู้นำซอฟต์แวร์ด้านโทรคมนาคม, บริษัทไอซ์ โซลูชั่นทำโอเพ่นซอร์ส

เวิร์กชอปร่วมกับมือโปรฯ

โดยเกณฑ์การคัดเลือกนั้น พิจารณาจากบริษัทที่มีศักยภาพ ตั้งแต่ผลประกอบการ กำลังคน ความสำเร็จของบริษัทในตลาดท้องถิ่น และความเป็นผู้ประกอบการ โดยทุกบริษัทต้องผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ความพร้อม ศักยภาพและเข้าร่วมการทำเวิร์กชอป ซึ่งทางซีบีไอได้ส่งที่ปรึกษาที่มีความชำนาญด้าน ไอที เอาต์ซอร์สซิ่งในตลาดสหภาพยุโรปจำนวน 2 คนเข้ามาให้ความรู้และคัดเลือกบริษัทซอฟต์แวร์กลุ่มแรกไปตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ปีที่แล้ว จนได้ประกาศผลไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

หลังจากนั้น ทางซอฟต์แวร์พาร์คกับซีบีไอได้ส่งตัวแทนซอฟต์แวร์ทั้ง 8 บริษัทไปอบรมที่เนเธอร์แลนด์ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ร่วมกับกลุ่มประเทศพันธมิตรในโปรแกรม CBI ITO outsourcing 2008-2012 ทั้งสิ้น 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อาร์มาเนีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน, โคลัมเบีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และบังคลาเทศ ทั้งหมด 68 บริษัท

“ถึงวันนี้เราได้ผ่านการฝึกตัวแทนซอฟต์แวร์เพื่อไปบุกตลาดอียู ในขั้นที่ 3 จาก 4 ขั้นตอนที่ตั้งไว้ ซึ่งนับจากนี้ทั้ง 8 รายพร้อมแล้วจะเข้าไปทำตลาดนี้อย่างจริงจัง โดยประเดิมด้วยซอฟต์แวร์ของเอ็มเฟคในงานซีบิท ประเทศเยอรมันที่จะถึงนี้ ซึ่งทางซีบีไอ จะออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพื้นที่การแสดงสินค้าทั้งหมด และหลังจากนั้นบริษัทซอฟต์แวร์ที่เหลือจะได้รับสิทธิ์ในการไปออกงานนิทรรศการต่างๆ ในยุโรปโดยไม่คิดมูลค่าต่อไป” สุวิภา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทซอฟต์แวร์ทั้ง 8 ราย จะต้องส่งแผนการส่งออก (Export Marketing Plan) ในปีนี้ให้กับซีบีไอและซอฟต์แวร์พาร์คพิจารณา ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะส่งทีมที่ปรึกษาเข้าไปปรับแต่งทางกลยุทธ์ เพื่อทำให้แผนมีความเป็นไปได้ในการทำตลาดสหภาพยุโรปอย่างเป็นไปได้สูงสุด







เล็งชิงส่วนแบ่งตลาดซอฟต์แวร์ยุโรป

"ความร่วมมือครั้งนี้ ทำให้ซอฟต์แวร์พาร์ค สามารถรวบรวมฐานข้อมูลผู้ผลิตซอฟต์แวร์ของไทยและแผนการสร้างภาพลักษณ์การตลาดซอฟต์แวร์ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศได้ดีขึ้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพตลาด กลุ่มผู้ประกอบการ การสนับสนุนทางภาครัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่มลูกค้าในตลาดยุโร ซึ่งปัจจุบันยอดส่งออกซอฟต์แวร์ไทยยังแค่ 4,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเล็กมาก"

โดยปัจจุบันตลาดไอที เอาต์ซอร์สในยุโรปมีมูลค่าการตลาดปี 51 สูงถึง 207.2 ล้านล้านยูโร โดยคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 231.2 ล้านยูโร ถือเป็นตลาดใหญ่ ที่เปิดโอกาสให้ทั้ง 8 บริษัทซอฟต์แวร์ไทยได้เข้าไปมีบทบาทในตลาด สร้างแบรนด์ และสร้างธุรกิจนอกประเทศให้มากขึ้น

ด้านความเห็นของทั้ง 8 บริษัทซอฟต์แวร์ หนึ่งใน 8 บริษัทซอฟต์แวร์ไทยให้ความเห็นว่า การบุกตลาดซอฟต์แวร์ในยุโรปครั้งนี้ ถือว่าเป็นการปูทางให้กับบริษัทซอฟต์แวร์ไทยรายอื่นๆ ได้แสดงฝีมือ โดยใน 4 ปีแรกอย่างน้อยทั้ง 8 บริษัทน่าจะได้โปรเจ็กต์ลูกค้ารายละ 1-2 โปรเจ็กต์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าโปรเจ็กต์ตั้งแต่ระดับแสนยูโร จนถึง 2 ล้านยูโรขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ แต่ละบริษัทเสียค่าใช้จ่ายบริษัทละ 1 พันยูโรให้กับซีบีไอ ซึ่งจ่ายครั้งเดียวในระยะเวลาโปรเจ็กต์ 6 ปี ขณะที่ซีบีไอจะให้เป็นเงินทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเวิร์กชอปที่ประเทศเนเธอร์แลนด์รายละ 800 ยูโร เท่ากับว่า บริษัทก็เสียค่าใช้จ่ายเพียง 200 ยูโรในโปรเจ็กต์ครั้งนี้ แต่หากทั้ง 8 บริษัทต้องร่วมออกบูธในนิทรรศการงานไอทีในต่างประเทศในช่วง 6 ปี ทางซีบีไอก็อาจจะสนับสนุนเงินบางส่วน ขณะเดียวกัน ทั้ง 8 บริษัทก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเองด้วย ซึ่งอยู่กับข้อตกลง หรือการเจรจา

นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์พาร์ค ยังมีโปรเจ็กต์ลักษณะเดียวกันนี้ กับประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนด้วย ซึ่งที่ผ่านมา มีบริษัทซอฟต์แวร์ไทยเข้าไปเปิดตลาดในอเมริกาแล้ว 10 บริษัท ส่วนที่จีนอยู่ระหว่างการคัดเลือก คาดว่าจะทราบผลเร็วๆ นี้

อุปสรรคซอฟต์แวร์ไทย

ขณะที่อีกฟากหนึ่ง กูรูแวดวงซอฟต์แวร์ไทย เคยบอกว่า อุปสรรคสำคัญของอุตฯ นี้ คือ ไม่มีใครให้การสนับสนุนในระยะยาว เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดที่จริงจัง ผู้ประกอบการที่มีแนวความคิดดีๆ ทำซอฟต์แวร์ดีๆ ต้องล้มหายตายจาก หนีไปทำธุรกิจอื่นเพราะทำซอฟต์แวร์ขายแล้วไปไม่รอด ไม่มีทุนที่จะพัฒนาต่อ ไม่มีสถาบันการเงินให้ความเชื่อมั่น

นอกจากซอฟต์แวร์พาร์คจะผลักดันหลายบริษัทซอฟต์แวร์ไทยเข้าสู่ตลาดยุโรปแล้ว ปีนี้ยังมีความร่วมมือระหว่าง สวทช, สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจร่วมทุน, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ซอฟต์แวร์พาร์ค, ไทยแลนด์ ไซน์พาร์ค ในการจัดเวทีพบปะระหว่างผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย และแหล่งเงินทุน ครั้งล่าสุด อาจเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้อุตฯ ซอฟต์แวร์ไทยมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศที่มากกว่า 0.58%

จะบอกว่า ปีนี้ เป็นปีแห่งโอกาสของอุตฯ ซอฟต์แวร์ไทยแบบเข้าใกล้ความจริงมากที่สุดก็ว่าได้ จากนี้ไปคงต้องรอพิสูจน์ความสามารถของผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน...


from :ARIP

ป้ายกำกับ:

“ลายมือ” มีสิทธิ์สูญพันธุ์

ความเจริญของโลกทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นมรดกสำคัญมีโอกาสสูญหายไป นักเขียนคนหนึ่งในอังกฤษเขียนหนังสือชื่อ “Script and Scribble: The Rise & Fall of Handwriting” ทำนายว่าการเขียนด้วยมือกำลังสูญพันธุ์อย่างช้า ๆ


คิตตี้ เบิร์นส์ ฟลอเรย์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว บีบีซี ว่าศิลปะการเขียนหนังสือด้วยมือกำลังเสื่อมไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากคนรุ่นใหม่ใช้ปากกาเขียนหนังสือเองน้อยลงเพราะมีการใช้ระบบสื่อสารสมัยใหม่ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยตลอด ทำให้ไม่มีความจำเป็นในการเขียนหนังสือด้วยมืออีกต่อไป

ฟลอเรย์ระบุว่า การหัดคัดลายมือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนการสอน ของโรงเรียนในประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ผ่านมาและคนอังกฤษก็มีวิธี การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เห็นได้จากเรื่องราวในช่วงสงครามครั้งที่สอง เมื่อทหารเยอรมันปลอมตัวเป็นทหารช่างอังกฤษและแอบเข้าประเทศอังกฤษ เพื่อสอดแนมโดยไปตั้งแคมป.ในต่างจังหวัดแต่โดนจับได้เนื่องจากชาวบ้าน เห็นทหารคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่เหมือนคนอังกฤษ

สำนักข่าวบีบีซีสัมภาษณ์ มาร์ก บราวน์ ครูใหญ่ของโรงเรียนเซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมคาทอลิกที่เมือง Axminster,Devon พบว่าโรงเรียนเอง ก็ได้เปลี่ยนวิธีการสอนจากที่เคยเน้นการคัดลายมือให้สวยงามเป็นระเบียบ มาเป็นการให้ความสำคัญต่อเนื้อหาสาระของการเขียนมากกว่า

บราวน์ ระบุว่ายังมีการสอนให้เด็กหัดคัดลายมืออยู่และผู้ปกครองส่วนใหญ่อยากให้เป็นแบบเดียวกับสมัยของตัวเองแต่โรงเรียนก็ได้เปลี่ยนการให้ความ สำคัญ ซึ่งทำให้เด็กเขียนเนื้อหาได้ดีขึ้นแต่ลายมือแย่ลงเมื่อเทียบกับคนสมัยก่อน

ฟลอเรย์ระบุว่า ความสำคัญของการเขียนและอ่านลายมือจะลดลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นในวงการแพทย์เนื่องจากนายแพทย์ส่วนใหญ่ยังนิยมเขียน ด้วยมือในการวิเคราะห์โรค และใบสั่งยาแต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าลายมือของพวก หมออ่านยากที่สุดในโลกและบางครั้งก็เป็นต้นเหตุของการรักษาผิดพลาด

ประเทศไทยเองก็เป็นปัญหาอยู่เห็นได้จากข่าวเมื่อเร็วๆนี้ที่มีการขลิบอวัยวะเพศเด็กชายทั้งที่เด็กไปที่คลินิกเพื่อผ่าตัดฝีในปาก

สิ่งที่เชื่อกันว่าจะเป็นสาเหตุที่เร่งให้การเขียนด้วยมือและลายมือสูญพันธุ์เร็วยิ่ง ขึ้นคือพัฒนาการของโทรศัพท์มือถือซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสาร สำหรับคน รุ่นใหม่และล่าสุดมีหนังสือขายดีในญี่ปุ่นเล่มหนึ่งชื่อ “ประสบการณ์ครั้งแรก” ของนักเรียนมัธยมญี่ปุ่นอายุ 22 ปีใช้นามปากกาว่า ยูมี-โฮตารุ ซึ่งแปลว่า หิ่งห้อยฝันเฟื่อง หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือขายดีเล่มแรกของโลกที่เขียน ด้วยการกดปุ่ม

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่านายหิ่งห้อยฝันเฟื่องเขียนหนังสือทั้งเล่มบน โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมคนรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นโดยเขียน เรื่องที่ละบรรทัดบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ที่มีอยู่หลายแห่งในญี่ปุ่น

ความนิยมของนิยาย “ประสบการณ์ครั้งแรก” ทำให้สำนักพิมพ์ชื่อดังติดต่อนาย หิ่งห้อยฝันเฟื่อง เพื่อขอลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์และกลายเป็นหนังสือขายดีไปด้วย

ชาวญี่ปุ่นเรียกนิยายบนโทรศัพท์มือถือนี้ว่า ไคไต โชเซ็ทสุ หรือบทประพันธ์บน โทรศัพท์มือถือเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นักเขียนส่วน ใหญ่เป็นวัยรุ่นหญิงและชายซึ่งเขียนเรื่องต่างๆ
รวมทั้งประสบการณ์ตัวเอง บางเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องปิดบังอำพราง อาทิ เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ การเสพยา การทำแท้ง เขียนบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ บทประพันธ์เหล่านี้ สามารถติดตามอ่านได้บนโทรศัพท์มือถือเป็นตอนๆ




ความก้าวหน้าทางการสื่อสาร และปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีส่วนสำคัญให้การเขียนหนังสือด้วยมือหดหายไปจากวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง ต้องกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง คนกลุ่มนี้ก็คือผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียน

มีรายงานว่ายอดการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนยังขยายตัวอยู่แต่ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเขียนในประเทศอเมริกาและประเทศต่างๆเริ่มไม่ แน่ใจในอนาคตของธุรกิจจึงจัดให้มีโครงการส่งเสริมการเขียนหนังสือขึ้นใน หลายประเทศโดยร่วมกับสมาคมการเขียน อาทิ สมาคมอุปกรณ์เครื่องเขียน ของอเมริกาสนับสนุนการจัดงาน วันแห่งการคัดลายมือขึ้นทุกๆวันที่ 23 มกราคมของทุกปี

ในประเทศอังกฤษมีการจัดการแข่งขันการคัดลายมือในระดับประถมโดยหน่วย งานในอังกฤษที่มีชื่อว่า Support and Training inPrep Schools (SATIPS) โดยจัดขึ้นทุกปีเช่นกัน ในประเทศจีนและญี่ปุ่นเองก็เขียนตัวหนังสือเป็นศิลปะ ชนิดหนึ่งที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามฟลอเรย์เขียนในหนังสือของเธอว่าในอนาคตลายมือของคนจะ เลวร้ายลงไปเป็นลำดับและในที่สุดก็จะกลายเป็นสิ่งอ่านยากเหมือนกับคัมภีร์ โบราณ และเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับในสมัยก่อนที่การเขียนหนังสือ ต้องอาศัยอาลักษณ์ที่ฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญเท่านั้น

ป้ายกำกับ:

ปรัชญา เศรษฐกิจ พอเพียง

ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างเป็นที่น่าจับตามองในสภาวะที่สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง ไปอย่างมากเข้าสู่ ระบบทุนนิยม ที่ “เงินตรา” มีความสำคัญนำหน้าจิตใจความรับรู้สิ่งที่ถูกผิด ศีลธรรม จริยธรรมถูกละเลย
เป็นเรื่องรองลงมาจนบางครั้งผมเองรู้สึกว่า “เงิน” สามารถซื้อ ความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนหรือซื้อศักดิ์ศรีความเป็นไทย
ไปแล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมไทย แทบทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าในสังคมเมืองหรือชนบท ระบบทุนนิยมได้เริ่มสร้าง
ปัญหาสังคมต่างๆ ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม ความยากจน ความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนถึงปัญหาอาชญากรรมการรับรู้ข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ประชาชนต้อง
คอยติดตามและใช้วิจารณญาณ คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อของแผ่นดิน” พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพทรงมองการณ์ไกลเสมือนหนึ่งเล็งเห็น
เหตุการณ์ล่วงหน้า ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทย พระองค์ท่าน ได้พระราชทานปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศมาเป็นเวลานานแล้วและดูเหมือนว่าในสถานการณ์ปัจจุบันปัญหาต่างๆจะไม่เกิดขึ้นกับ
ประเทศไทย ถ้าแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงนี้ไม่ถูกละเลย และเป็นที่ยึดถือปฏิบัติ อยู่ในจิตสำนึกของพสกนิกร
ชาวไทย และที่สำคัญคือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศ และดูแลความสงบสุข เรียบร้อยในบ้านเมือง

โอกาสนี้ผมจะขออัญเชิญ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาครับโดยปรัชญานี้มีเนื้อหาสาระดังนี้ครับ
“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ
เพื่อให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียงหมายถึงความพอประมาณความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบ
ภูมิคุ้มกันในตัวดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน

ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาต่างๆมาใช้ในการวางแผน
และดำเนินการทุกขั้นตอน และ ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และ นักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคมสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”





ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ จึงประกอบหลักการหลักวิชาการ และหลักธรรมหลายประการ อาทิ

(๑) เป็นปรัชญาแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน
จนถึงระดับรัฐ

(๒) เป็นปรัชญาในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง

(๓) จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัตน เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็ว กว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

(๔) ความพอเพียง หมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอ
สมควรต่อ การมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน

(๕) จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง อย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผน
และดำเนินการ ทุกขั้นตอน

(๖) จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ
ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร
มีสติปัญญาและความรอบคอบ

จะเห็นได้ว่าหากประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ยึดถือปรัชญานี้เป็นแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน มีสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญาและความรอบคอบ ประเทศไทยจะสงบสุข ร่มเย็นยืนหยัดอยู่ได้ด้วย
ความสามารถ ความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน

สุดท้ายนี้ผมขออัญเชิญ “พระบรมราโชวาท” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่นิสิตที่สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ ๑๒ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ความว่า

“การที่จะประกอบกิจการใดๆ ให้เจริญเป็นผลดีนั้น ย่อมต้องอาศัยความอุตสาหะพากเพียร และความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นรากฐานสำคัญ ประกอบกับจะต้องเป็นผู้มีจิตเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และพร้อมที่จะบำเพ็ญประโยชน์ ให้เกิดแก่ส่วนรวมตามโอกาสอีกด้วย”


เอกสารอ้างอิง : การเดินตามรอยพระยุคลบาท เศรษฐกิจพอเพียง ช่วยแก้ปัญหาความยากจนและการทุจริต,
สมพร เทพสิทธา

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิชัยพัฒนา คลิกที่นี่
http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.html

ป้ายกำกับ:

ตำราทายดวงรัก (จากคัมภีร์โรมัน)

ตำราทายดวงรักฉบับนี้แม่นมากนะ ขอยืนยัน (หนังสือเขาว่าไว้อย่างนี้อ้ะ) เป็นตำราเก่าจากคัมภีร์โรมัน

ทายได้ทั้งลิขิตรักตามดวงชะตา

และทายได้ถึงส่วนลึกของหัวจัยคุณเองด้วยล่ะ ว่าเป็นอย่างไร

คิดอย่างไรกับความรัก เพราะบางทีเราอาจจะไม่รุ้จักใจจริงๆ

เของตัวเราเองก้อได้นี่นา จิงมะ

วิธีจะรู้ดวงรักของตัวเองได้ ก้อต้องเลือกก่อนนะว่าภายใน 12

เดือนน่ะ คุณอยากจะแต่งงานเดือนไหนมากที่สุด

ต้องคิดและตอบอย่างซื่อสัตย์นะ ว่าจัยน่ะ ชอบเดือนอะไรมาก

อย่าคิดตอบโดยอาศัยความเชื่อของผู้เฒ่า ผู้แก่นะ

แต่ตอนนี้หั้ยเลือกเดือนที่อยากแต่งมาตอบก่องก้อแร้วกันนะจ๊ะ



1. เลือกเดือนมกราคม ดวงรักของคุณมีความเข้มข้นมากนะ

เพราะคุณมีทั้งความโรแมนติกมาก และ ความซีเรียสสูง แบบว่ามี 2

อารมณ์ที่แตกต่าง บางช่วงจึงมีความเจ็บปวดลึกๆ เหมือนกัน

แต่ทุกครั้งที่มีรัก ก้อจะรักกันได้นานและจริงจังพอควรเชียวล่ะ



2. เลือกเดือนกุมภาพันธ์ ดวงความรักของคุณไม่ค่อยแน่นอนนะ

เพราะตัวคุณเองเป็นคนรักอิสระมาก อยากทำอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ

คุณมักจะมีคนรักที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน

หรือมีการคบหากันแบบเพื่อนด้วยเพราะคุณไม่ใช่คนที่ชอบทำหวานทำสวีตกับคนที่ค

ุณรักนักหรอก



3. เลือกเดือนมีนาคม ดวงความรักของคุณจะมี ความเงียบๆ เหงาๆ

ปรากฏขึ้น อยู่เสมอในหลายๆช่วง แม้ขณะที่มีรักก้อเหงาได้

คุณจะพบรักได้ง่ายมาก ความอ่อนไหวของหัวจัยอาร์ตติสต์

ของคุณจะทำหั้ยเรียกร้องและต้องการความรักอยู่ตลอดเวลาเชียวแหล่ะ



4. เลือกเดือนเมษายน ดวงความรักของคุณเจิดจ้าเหมือนไฟ

บางช่วงก้อเจอปุ๊บรักปั๊บ บางช่วงก้อมีแต่ควันกรุ่นๆ

คือมีรักแต่ไม่มีแฟน คุณเป็นคนที่ตัดใจเก่ง

สลัดรักได้อย่างคาดไม่ถึง เพราะคุณมักมองหาคนที่จริงจัย

และกระตือรือร้นมากกว่าคนเลื่อนลอยไร้สาระ



5. เลือกเดือนพฤษภาคม ดวงความรักของคุณอบอุ่นมาก

ด้วยเพราะเปงคนที่ไม่ชอบรักเล่นๆ คุณจะค่อยๆ

ดูคนที่คุณชอบอย่างจัยเย็น ถ้าใช่จริงก้อจะเปิดตัวเปิดจัย

คุณมักจะดูแลเทคแคร์แฟนมาก แต่ช่วงใดที่เจอคนชอบหวือหวา

เกินไปก้อจะคบกันไม่ยืดแน่ๆ



6. เลือกเดือนมิถุนายน

ดวงความรักของคุณไม่เงียบเหงาแต่ก้อไม่มั่นคงนัก คุณจะพบรักบ่อย

แต่ตัวคุณไม่ค่อยจริงจักนัก แม้จะดูเอาจัยแฟนเก่งแต่ลึกๆ

แร้วยังคงมองหาคนที่ดีกว่าอยู๋เสมอ ดวงรักจึงเปลี่ยนแปลงบ่อย

เพราะใจคุณไม่ค่อยจาอดทนอะไรได้นานนัก



7. เลือกเดือนกรกฏาคม ดวงความรักของคุณหวานแหววเสมอ

เพราะคุณน่ะเปงคนประเภทขาดความรักไม่ได้ ชอบทำอะไรหนุงหนิง

กับแฟนหั้ยA4นอิจฉา คุณตกหลุมรักง่ายแต่ก้อเลือกมาก

ดวงของคุณถ้าคบใครก้อจาคบนานเลยเชียวล่ะ



8. เลือกเดือนสิงหาคม ดวงความรักของคุณสดใสมาก

หัวใจไม่เคยว่างตามประสาคนเจ้าชู้เสน่ห์แรง

คุณจะพบความยุ่งยากหั้ยปวดหัวบ่อย ในเรื่องรักซ้อนซ่อนกิ๊ก



9. เลือกเดือนกันยายนดวงความรักของคุณเป็นอะไรที่ชัดเจนและมั่นคงมาก

เพราะตัวคุณเองมองเรื่องรักว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก

แต่หลายครั้งที่ความละเอียดเกินไปของคุณอาจทำให้มีผลกระทบไปถึงเรื่องรักได้

ถึงยังงัยก้อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า

เพราะคุณจะมีรักที่อบอุ่นลึกซึ้งเสมอ และไม่เคยคบใครแค่ช่วงสั้นๆ
แน่นอน



10. เลือกเดือนตุลาคม ดวงความรักของคุณไม่เคยหม่นมัว

หัวใจรักของคุณแสวงหาความรักอยู่เสม แต่ก้อมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยนะ

ถ้าเจอคนถูกใจแต่พอคบๆ

กันไปแล้วคุณรุ้สึกว่าไม่ใช่คุณก้อจะมองหาคนใหม่ทันที (จริงรึเปล่า)



11. เลือกเดือนพฤษจิกายน ดวงความรักของคุณน่ะไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ

คุณเป็นคนรักแรงเกลียดแรง ทุกครั้งที่คบใครจะคบจริงจัง

และทุ่มเทหมดใจ เมื่อผิดหวังจึงเจ็บมากเป็นพิเศษ แม้คุณจะดูหยิ่งๆ

และเย็นชาก้อเถอะนะ



12. เลือกเดือนธันวาคม

ดวงความรักของคุณมักจะ X งกับคนที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ

หรือคนรุ้จักคุ้นนเคยกันมาก่อน

คนที่คุณรักมักจะเป็นคนที่คาดไม่ถึงเสมอ ในสายตาเพื่อนๆ

ของคุณในเส้นทางรักนั้น คุณจะมีความอดทนสูงมาก
ที่มา : Roongrawee
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ป้ายกำกับ:

ปรัชญาพอเพียงเรื่องที่เข้าใจได้ใกล้ๆ ตัว

คอลัมน์ สนทนากับเลขาธิการ

โดย วิสิฐ ตันติสุนทร

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคิดค้นและพระราชทานนั้น ทรงเน้นถึงหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ ความพอประมาณ การใช้ความรู้และเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักยึดที่ปลอดภัย ถูกต้อง สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงทุกระดับทั้งจุลภาคและมหภาค ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ทั้งในการดำเนินชีวิต การบริหารบ้านเมือง และการบริหารกิจการ

สิ่งสำคัญในการนำหลักปรัชญาดังกล่าวมาปรับใช้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง อย่างในระบบธุรกิจนั้น คำว่า ความพอประมาณ หากพิจารณาโดยรวมแล้วก็หมายถึง การประกอบกิจการที่ค่อยเป็นค่อยไป ขยายกิจการบนความรอบคอบและการประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนบนความสามารถหรือในธุรกิจที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ที่ผ่านมาหลายธุรกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในทิศทางที่ไม่ใช่อาชีพหรือหน้าที่หลักของตนเอง สุดท้ายก็ต้องปิดตัวเองลงเนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องก่อให้เกิดหนี้สินตามมา สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้ที่ไม่สามารถชำระคืนได้หรือเอ็นพีแอล

ในด้าน การใช้ความรู้และเหตุผล นั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตัวเราเองแบบง่ายๆ ก็หมายความว่าก่อนที่เราจะตัดสินใจหรือลงมือทำอะไรก็ตามเราควรต้องมีข้อมูลในเรื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอ และควรได้ศึกษาข้อมูลปัจจัยพื้นฐานในเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้ หลายคนตัดสินใจจากความพึงพอใจส่วนตัว จากข้อมูลในอดีต หรือข้อมูลจากคนรอบข้างที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริง และสุดท้ายด้าน การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ก็หมายถึงรากฐานที่มั่นคง เปรียบเทียบกับร่างกายของคนเรา หากร่างกายแข็งแรงก็ไม่ต้องเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งเมื่อนำมาพูดถึงการทำธุรกิจ รากฐานที่แข็งแรงจะมาจากการวิเคราะห์ วางแผนอย่างบูรณาการและเป็นระบบ ที่สำคัญมีผลการวิจัยเป็นข้อมูลประกอบที่สำคัญ

ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงมีความอมตะอยู่เหนือกาลเวลา ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และสามารถใช้ประโยชน์ได้ในทุกมิติ กบข. ในฐานะกองทุนเงินออมระยะยาวที่สนับสนุนหลักการพอประมาณได้ส่งเสริมให้เกิดการออมเพื่อให้สมาชิกสามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อพ้นวัยทำงาน โดยอยู่บนพื้นฐานของการรักษาสมดุลระหว่างการบริหารผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ บริหารงานด้วยความใส่ใจ ระมัดระวัง และอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์อย่างมืออาชีพสอดรับกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน

ป้ายกำกับ:

6 วิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศ

6 วิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศ

‘วัยรุ่น’ เป็นวัยที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากผู้ปกครองจะพยายามส่งเสริมด้านสติปัญญา หรือ IQ ให้แก่วัยรุ่นแล้ว การพัฒนาด้าน EQ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มีวิธีพัฒนาตนเองของวัยรุ่นสู่ความเป็นเลิศ มาฝากกัน

1.ตั้งเป้าหมาย เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คือ ชีวิตที่มีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ รวมทั้งการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ

2.มีวินัย เป็นหลักปฏิบัติที่ช่วยให้ทำงานสำเร็จ เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วยเวลาอันสั้น เป็นตัวกำหนดการเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับ และช่วยควบคุมตนเองได้ดี

3.สร้างความมั่นใจ ถือเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องเรียนและการทำงาน นอกจากจะส่งผลให้เป็นคนกล้าแสดงออก และกล้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ อย่างมั่นใจแล้ว ยังทำให้บุคลิกภาพดีด้วย

4.รับฟังความคิดเห็น และคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันเมื่อพบกับปัญหา ควรหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อสร้างความร่วมมือที่ดีในการทำงาน

5.มองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวก จะส่งผลให้สุขภาพจิต สุขภาพกายดี ความคิดโปร่งใส สุดท้ายจะตามมาด้วยความสุขและความสำเร็จ

6.ใช้ชีวิตให้สมดุล ด้วยการเดินสายกลาง อย่าทุ่มเทชีวิตให้ด้านใดด้านหนึ่ง จนด้านอื่น ๆ ขาดการดูแล รู้จักใช้ชีวิตให้สมดุล เพื่อกระตุ้นให้ชีวิตมีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์ และมีพลังในการเรียน การทำงานต่อไป
การพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจ ควบคู่ไปกับ IQ นั้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง.

ที่มา : Ern Jar
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ป้ายกำกับ:

การขอเปลี่ยนชื่อ

หลักเกณฑ์ / คุณสมบัติ
การเปลี่ยนชื่อตัวและชื่อรอง
ตาม พ.ร.บ. ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 บุคคลสัญชาติไทยต้องมีชื่อตัวและชื่อสกุลและจะมีชื่อรองด้วยก็ได้
* ชื่อตัว คือ ชื่อประจำตัวบุคคล
* ชื่อรอง คือ ชื่อซึ่งประกอบถัดจากชื่อตัว
* ชื่อสกุล คือ ชื่อประจำวงศ์สกุล
หลักเกณฑ์การตั้งชื่อตัวและชื่อรอง
-ต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย หรือพระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม
-ต้องไม่เป็นคำหยาบหรือมีความหมายหยาบคาย
-ต้องไม่มีเจตนาในทางทุจริต
-ผู้ได้รับหรือเคยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ โดยมิได้ถูกถอด จะใช้ราชทินนามตามบรรดาศักดิ์เป็นชื่อตัวจริง ชื่อรองก็ได้
เอกสารที่ใช้
1. สำเนาทะเบียนบ้าน
2. บัตรประจำตัวประชาชน
3. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (กรณีบุคคลต่างด้าว)
ขั้นตอนการดำเนินงาน
* ผู้ยื่นคำขอตามแบบ ช1 ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
* นายทะเบียนท้องที่ตรวจสอบคำขอกับทะเบียนบ้าน และชื่อที่ขอเปลี่ยนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
* กรณีอนุญาตสำหรับบุคคลสัญชาติไทย นายทะเบียนท้องที่จะออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวชื่อรอง (แบบช.3) ให้เป็นหลักฐาน
* กรณีบุคคลต่างด้าว นายทะเบียนท้องที่จะออกหนังสือรับรองการเปลี่ยนชื่อตัวของคนต่างด้าวให้ เพื่อประกอบหลักฐานการแปลงชาติ หรือคืนสัญชาติเป็นไทยเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว นายทะเบียนท้องที่ จึงออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อรองให้เป็นหลักฐาน และเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 25 บาท
* เมื่อได้รับหนังสือสำคัญแล้ว ให้ผู้ขอนำหนังสือดังกล่าวไปขอแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านและหลักฐานอื่น ๆ ให้ถูกต้อง และขอเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนด้วย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.dopa.go.th

ป้ายกำกับ:

รถเมล์ไทยโดนใจคนไทย

เรื่องราวของ 'รถเมล์ไทย' ขำดี เอามาเล่าสู่กันฟังนะ


ปอ. 10 (พระประแดง-รังสิต)

รถเมล์ สายที่ 'หยิ่ง' ที่สุดในประเทศไทย
คาดว่าคนขับทั้งหลายคงเป็นคนรวยแอบมาขับรถเล่นแก้เซ็งไปวันๆ
ไม่ง้อผู้โดยสาร ยิ่งรถตัวเองโล่งเท่าไรยิ่งชอบ ไม่จอดรับผู้โดยสาร
ต่อให้โบกจนมือหัก
และมีวิธีป้องกันผู้โดยสารจะขึ้น โดยการไปจอดป้ายไกลๆ
เพื่อให้ผู้โดยสารลงแล้วซิ่งทันที
ต่อให้คนที่จะขึ้นวิ่งไปถึงประตูก็แล้วเหอะ
แถมเป็นรถหายากนานๆ มาสักคันนึง ถ้าพลาดแล้วละก็
ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินรอคันต่อไปได้เลย

สาย 8 (ปากคลองตลาด-แฮปปี้แลนด์)

รถเมล์สายที่ซิ่งเร็วที่สุดในประเทศไทย
คาดว่าคนขับส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักแข่งรถมือสมัครเล่นที่ตกงาน
หรือสอบตกจากการเทิร์นโพร เลยหันเหชีวิตมาขับรถเมล์แทน
แต่มองหน้าแล้วนึกว่าเพิ่งหนีออกมาจากคุก
ขอแนะนำสำหรับผู้โดยสารหน้าใหม่ว่าอย่านั่งเบาะหน้า (ยาวๆ) เด็ดขาด
หัวคุณอาจโขกหรือพุ่งชนกระจกหน้ารถได้
พึงจับราวให้มั่น ก้าวขึ้น-ลงให้ไว
เวลาคนโบกให้จอด มันไม่ค่อยจอดตรงที่คนยืนคอย
มันจะวิ่งเลยไปให้คนวิ่งตาม
พอคนที่วิ่งเร็วที่สุดตามไปถึงแล้วก้าวขาจะขึ้นไป
มันจะกระตุกรถทีนึง
บังเอิญว่าคนโดยสารกระโดดขึ้นไปได้
มันจะกระชากรถอีกทีให้หน้าคะมำไปข้างหน้า
คนขับมันจะหันมามองอย่างสะใจ แล้วกระตุกรถไปเรื่อยๆ
ให้คนโดยสารคนต่อไปรู้รสชาดอย่างทั่วถีง.....
ทีนี้อีตอนขาลง ผู้โดยสารกดกริ่งครั้งแรก มันยังวิ่งตะบึงอย่างเมามัน

ผู้โดยสารกดกริ่งอีก มันจะตะคอกว่า

"กดครั้งเดียว...รู้แล้ว..เดี๋ยว (เซ็นเซอร์) ไม่จอดซะนี่!"

แล้วก็เบรคอย่างแรง

ผู้โดยสารทั้งคันต่างพากันหาหลักจับยึดบ้าง ที่จับไม่ทันก็หน้าคะมำคว่ำเค้เก้

รถยังไม่จอดสนิทดี กระเป๋า (ซึ่งหน้า***มพอกัน) มันจะบอก "ลงเร็วๆ ...... ลงเร็วๆ"

ผู้โดยสารคนต่อไปเพิ่งก้าวขาซ้ายลงไป คนขับมันจะกระชากรถไปเรื่อยๆ
ใครลงทันก็โชคดีไป ใครไม่ทันก็หน้าจ๋อย ยอมรับสภาพไปลงป้ายหน้าเอา

ปอ. 6 (พระประแดง-ปากเกร็ด)

รถเมล์สายที่วิ่งยาวที่สุด

เริ่มต้นสายจากจังหวัดสมุทรปราการ พาเที่ยวชมรอบเมืองกรุงเทพฯ อาทิ
พระปรางค์วัดอรุณฯ สะพานพุทธฯ วัดโพธิ์ ท่าเตียน ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ สนามหลวง
วัดพระแก้ว ฯลฯา
ไปจนสุดสายที่จังหวัดนนทบุรี ด้วยแพ็คเก็จราคาสุดประหยัด
(สมุทรปราการ-กรุงเทพฯ-นนทบุรี) เพียง 18 บาท ตลอดการเดินทาง
(กรุณานำอาหารมาเอง) เหมาะกับการพาคนแก่และเด็กเดินทางเล่น
เพราะจำกัดความเร็วเพียง 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปลอดภัยแน่ๆ

สนใจติดต่อ ขสมก.
เริ่มทัวร์ได้ 5.30 ถึง 21.00 น.
ปล. เนื่องจากใช้แอร์ระบบ Hottest First ป้องกันผู้โดยสารหนาวจนแข็งตาย
ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อหนาวมาแต่ประการใด

ปอ. 4 (ซึ่งเราว่าเป็นรถที่แน่นสุดในประเทศไทยแล้วมั้ง)

ทุกวันเราต้องพบนักห้อยโหนกายกรรมออกมาจากตัวรถ จนหวาดเสียวว่าจะเกิดอันตราย
กับเขาเหล่านั้นหรือเปล่า กระเป๋ารถเมล์ทุกคนได้รับการอบรมให้พูดเหมือนกันคือ

“ขึ้นบนมาหน่อยสิคะ"
"เดินหน้าชิดในหน่อย"
"คนหน้าคนหลังช่วยเดินหน่อยสิคะ"

บางทีก็ไม่เคยดูเลยว่าสภาพในรถเป็นไง ประมาณว่าโดนตั้งโพแกรมให้พูดยังไงก็พูดตาม

หากโดนกระเป่ารถถามว่า "ชิดในหน่อย..ที่ข้างๆ จะเอาไว้เตะตะกร้อเหรอ?"
ก็ตอบไปเลยว่า "เอาลูก (ตะกร้อ) มาให้เด่ะ! จะเตะให้ดู"

หรือบ้างก็ตะโดนกลับมาว่า "คุณผู้หญิงด้านหลัง ท้องไม่มีพ่อแล้ว!"
บางคนเกาะไปด้วยมือเดียวเท้าเดียวเท่านั้นเก่งจริงๆ
วันไหนโชคดีขึ้นได้ จะไปถีงออฟฟิศในสภาพหัวเหอเสื้อผ้ายับเยิน
จนเพื่อนมันเคยทักว่าไปโดนข่มขืนมาเหรอ!?

สาย 113 (มีนบุรี-หัวลำโพง)

รถสภาพโทรมชะมัด ประตูปิดไม่ได้ซักกะคัน
ในชั่วโมงเร่งด่วนคนอัดแน่นยังกะปลากระป๋อง แถมไม่ชอบจอดรับคนขึ้นด้วย
ขากลับจากหัวลำโพงแทนที่จะวิ่งเข้าพญาไท มันดันมุดเข้าซอยบ้าอะไรไม่รู้
ไปโผล่เอาบรรทัดทอง
คนที่รอขึ้นตรงสามย่านก็คอยไปเถอะ ชาตินึงกว่าจะโผล่มาทางพญาไทซักคัน

ปอ.1 (ปากคลองตลาด-มีนบุรี)

วิ่งจากมีนบุรี ผ่านหน้ารามฯ ผ่านพระโขนง ผ่านสุขุมวิท ผ่านสยาม แล้วก็ไปปากคลองตลาด
ด้วยความที่จากหน้ารามฯวิ่งไปสุขุมวิทมีสายเดียว (แต่ก่อนมีสาย 40 ด้วย แต่เดี๋ยวนี้มันไม่
ผ่านรามฯแล้ว)
ทำให้คนแน่นมากถึงมากกว่าแน่นที่สุด แน่นจนเวลาขึ้นนี่กอดคนข้างๆ ได้สบายมาก

ยิ่งวันเสาร์หรือวันธรรมดาตอนชั่วโมงเร่งด่วนนะ....ฮึ่ม.....อย่าฝันเลยจะได้นั่ ง
แต่พอถึงสุขุมวิท 24 (เอ็มโพเรียม-สวนเบญจสิริ) คนลงเกือบหมดรถเลย

สาย 33 (ปทุมธานี-สนามหลวง)

ที่จริงน่าจะเปลี่ยนเป็น นรก-อเวจี ดีกว่าค่ะ เร็วสุดๆ เคยนั่งช่วง 6 โมง จากปากเกร็ดถีงสนามหลวง 25 นาที
ตื่นไปเรียนไม่เคยนั่งหลับบนรถสายนี้เลย เพราะเคยมีคนนั่งหลับแล้วรถเข้าโค้งหน้าวัดสร้อยทอง ไม่รู้เจ้าที่แรงหรือเหตุอันใด

ชายผู้นั้นได้กระเด็นตกจากเบาะมาอยู่ที่พื้นรถโดยไม่รู้ตัว

แต่สามารถกลับขึ้นไปนั่งหลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เคยขึ้นสะพานแล้วลอยตัวอยู่ประมาณ 3 วินาที
พอตกลงมากระจกข้างๆ เราร้าวหมดทั้งแผ่นนึกว่ามอเตอร์ครอส

เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ขอแนะนำนะค่ะ

คนในรถนั่งมองหน้ากันแบบ ...
สงสัยว่าตูจะมีชีวิตรอดมั้ยนี่?!

ปอ. 356 (ปากเกร็ด-รังสิต)

ถ้าคิดจะทำหนังย้อนยุคสัก 30 ปี แนะนำให้ใช้ประกอบฉากได้
ความเร็วไม่เกิน 40 กม. ขับไม่เกินเกียร์ 3
วิ่งจากปากเกร็ด-หลักสี่ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง
แม้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน เวลาเย็นรับสาวโรงงานกลับบ้าน
จะจอดรอกันหน้าโรงงานมั่ง เหมือนประหนึ่งเป็นอู่รถ
แถมซ้อนกัน 3 คันอีกต่างหาก
จากสภาพรถไม่น่าเชื่อว่าจะไปถึง ม.ธรรมศาสตร์รังสิตได้
เคยเสียกลางทางคนขับบอกให้ช่วยเข็นหน่อย

สาย 57 (ตลิ่งชัน - คลองสาน)

เนื่องจากสายนี้ต้องผ่านสถานที่หลายแห่ง ซึ่งเป็นที่เก่ามีประวัติและเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
เช่น เมื่อผ่านโพธิ์สามต้นคนขับจะถูกผีมอเตอร์วินเข้าสิง ซอกเล็กซอกน้อยพี่แกจะมุด เบียด
ปาด แซงซ้ายขวาเป็นที่หวาดเสียว

ครั้นออกถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรีจะถูกผีรถบรรทุกเมายาบ้าเข้าสิง
แข่งกันไล่บี้ชนิดไม่กลัวอุบัติเหตุ จะจอดก็ตอนชนท้ายกับรถเก๋งหรือรถพัง
และเคยไหมขึ้นไปนั่งบนรถแล้วมองเห็นล้อวิ่งอยู่เพราะใต้ท้องรถมันทะลุ!

ปอ. 126

สายนี้สนับสนุนโดย The Mall เพราะวิ่งผ่าน The Mall ถึง 3 แห่ง คือ
ตั้งแต่งามวงศ์วาน บางกะปิ แล้วก็รามคำแหง
ส่วนสปอนเซอร์อีกรายคาดว่าจะเป็นเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
ตอนนี้ผ่าน 2 เมเจอร์ คือเมเจอรร์รามฯ กะรัชโยธิน
แล้วก็อีกนิดนึงจะผ่านเมเจอร์เอกมัย
.....โชคดีที่มาทะลุตรงพระโขนง...

ปอ. 157 (ปอ.32 เดิม บางประกอก-หมอชิต)

เราคิดว่าเป็นรถเมล์สายที่ผ่านหน้าโรงพยาบาลมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ทั้งศิริราช รามาฯ พระมงกุฎ ราชวิถี โรงพยาบาลเด็ก ศูนย์วิจัยมะเร็งโรคปอด เปาโล

อภิธานศัพท์ 'ความจริงเกี่ยวกับรถโดยสารในเมืองไทย'

1. รถเมล์ = ก. รถประจำทาง พาหนะสำหรับผู้รักการผจญภัย
ข. พาหนะที่มักจะไม่มาเมื่อคุณรอ และวิ่งให้ว่อนเมื่อไม่ต้องการ

2. พขร. = พนักงานแข่งรถ

3. พกส. = พนักงานเก็บเงินผู้ใหญ่ที่สุด มีอำนาจสั่งการให้ผู้โดยสารไปไหนก็ได้
และ เป็นคนเดียวที่คุยกับ พขร. รู้เรื่อง

4. ผู้โดยสาร = บุคคลผู้เจียมเนื้อเจียมตัว บางครั้งถูกเปรียบให้เป็นปลา (กระป๋อง)

5. นายตรวจ = คนเดียวที่ พกส. กลัว

6. ค่าโดยสาร = จำนวนเงินที่ต้องจ่าย กรุณาจ่ายเป็นเศษสตางค์ ไม่รับเหรียญสลึงและแบงค์ ใหญ่กว่า 100 ฝ่าฝืนอาจถูกสรรเสริญจาก พกส. และอาจลามปามไปถึงบุพการีที่นอนอยู่ได้

7. ป้าย = ไป (สันนิษฐานว่าเลยไปเลย สังเกตจาก พกส. จะพูดคำนี้ทุกครั้งที่ถึงป้าย)

8. ที่นั่งสำหรับ ภิกษุ สามเณร = ที่นั่งสำหรับป้าตาถั่วหรือตาบอดสี โดยเฉพาะสีเหลือง

9. ที่นั่งสำหรับ คนพิการ = ดูข้อ 8 (คล้ายๆ กัน)

10. เด็ก สตรี และคนชรา = ประชาชนส่วนใหญ่ที่ประชาชนส่วนน้อยต้องเอื้อเฟื้อ จึงมักจะ (ดูต่อข้อ 11)

11. แกล้งหลับ = วิธีหลีกเลี่ยงจากข้อ 10

12. คนดีมีน้ำใจ = คนประหลาดในสายตาข้อ 11

13. กริ่ง = กดสองที ฟรีสองป้าย

14. รถไฟฟ้า = เครื่องช่วยหายใจคนกรุงฯ สามารถไปได้ทุกๆ ที่ยกเว้นบ้านคุณ

15. เรือด่วน = เครื่องช่วยหายใจอีกอย่างหนึ่ง เหมาะสำหรับคนว่ายน้ำเป็นและน้ำหนักตัวน้อย

16. แท็กซี่ = พาหนะที่พาคุณอ้อมไปจากเส้นทางจริง

17. สามล้อ = พาหนะสำหรับผู้มีสุขภาพปอดดี เคลื่อนที่ทุกๆครั้งที่มีที่ว่างมากกว่า 2 นิ้ว

18. ไมโครบัส = สูงสุดคืนสู่สามัญ (จากราคา 15 เป็น 20 เป็น 25 เป็น 30 และกลับมาเป็น 20 และเป็น 25 ในปัจจุบัน)

19. ครีมน้ำเงิน = วิธีการรีไซเคิล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงขึ้น (จากเดิม 2.50 บาท ปัจจุบัน 5 บาท)

20. ยูโร = วิธีการขึ้นราคาค่าโดยสารแบบมัดมือชก ราคามากกว่า แต่คุณภาพ เหมือนเดิม เฮ้อ สาธุ!!

ที่มา : จาก Narak.com คั้บ
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ป้ายกำกับ:

ขั้นตอนการเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล

click link: "ขั้นตอนการเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล" http://www.person.ku.ac.th/flow/regis06.pdf

ป้ายกำกับ:

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เมื่อลูกอาละวาด จะรับมืออย่างไร?

เด็กๆ ในช่วงอายุ 1 - 3 ปี หรือที่บางคนเรียกว่า “วัยต่อต้าน” เพราะเมื่อเด็กวัยนี้รู้สึกคับข้องใจ โกรธ หรือผิดหวัง พวกเขามักแสดงออกโดยการร้องไห้ แผดเสียง หรือกระทืบเท้าไปมา ซึ่งบางครั้งทำให้ผู้ปกครองรู้สึกโกรธ หรืออับอาย และเหนื่อยใจไปตามๆ กัน



อย่างไรก็ตาม การร้องอาละวาดเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการเด็ก เพื่อที่จะเรียนรู้การควบคุมตนเอง และในความเป็นจริงเด็กเกือบทุกคนต้องมีภาวะนี้บ้างไม่มากก็น้อย



พญ.สินดี จำเริญนุสิต กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การแสดงออกเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของเด็กวัยนี้ ที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ เด็กจะเริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเอง อยากรู้อยากเห็นในสิ่งแวดล้อมซึ่งแปลกใหม่บนโลกใบนี้



เด็กมีความต้องการที่จะควบคุมทุกอย่าง ต้องการเป็นอิสระและพยายามที่จะทำอะไรที่เกินความสามารถของตนเอง ต้องการจะตัดสินใจเองและไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ดีพอ ยิ่งถ้าเขาเหนื่อย หิว หงุดหงิดหรือกลัวด้วยแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถที่จะจัดการตัวเองได้ ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องยากสำหรับเขา การร้องอาละวาด จึงเป็นหนทางในการปลดปล่อยอารมณ์ของเด็ก ข่าวดีก็คือ อาการร้องอาละวาดมักหยุดไปเองหลังอายุ 4 ปี



สาเหตุที่อาจทำให้เด็กมีพฤติกรรมเช่นนั้น ได้แก่



ข้อจำกัดเรื่องภาษา คือ ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือถามได้ทั้งหมด เด็กจึงสับสน เครียดเมื่อใครๆ ก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการ ไม่รู้จะบอกความรู้สึกของตนเองอย่างไร (หลังอายุ 3 ปี เด็กส่วนใหญ่สามารถบอกความรู้สึกได้ การร้องอาละวาดจึงค่อยๆ ลดลง ส่วนเด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาช้า การร้องอาละวาดจึงอาจจะยังคงอยู่นานกว่า)



ข้อจำกัดเรื่องพัฒนาการด้านอื่นๆ คือ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองทำให้หมดกำลังใจได้ง่าย ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองจินตนาการได้ เช่น เดิน วิ่ง ปีนป่าย วาดรูปหรือเล่นของเล่นที่ยากกว่าวัย



ข้อจำกัดเรื่องสังคม เป็นการแสดงปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้าน อิจฉาเพื่อนหรือพี่น้อง หรือต้องการได้ในสิ่งที่เด็กคนอื่นมี หรือเรียกร้องความสนใจ



ข้อจำกัดเรื่องทางกายภาพ เด็กที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่หิว / เหนื่อยหรือนอนไม่พอ / กังวลหรือไม่สบายตัว



จะป้องกันการร้องอาละวาดได้อย่างไร



พ่อแม่อาจจะไม่สามารถป้องกันการร้องอาละวาดได้ทุกครั้ง แต่สามารถลดโอกาสที่จะเกิดได้ โดย



- พยายามกระตุ้นให้เด็กพูด บอกความรู้สึก เช่น “หนูทนไม่ไหวแล้วนะ” เข้าใจความรู้สึกของเขาและแนะนำว่าควรพูดยังไง



- ตั้งกฎที่เหมาะสมในบ้านและอย่าไปคาดหวังว่าเด็กต้องทำได้สมบูรณ์ ให้เหตุผลง่ายๆ ว่าทำไมต้องมีกฎและพยายามอย่าไปเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ



- พยายามทำกิจวัตรประจำวันให้เหมือนเดิมทุกวันเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เด็กคาดเดาต่อไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น



- หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นให้เด็กเกิดร้องอาละวาด เช่นการเล่นของเล่นที่ยากกว่าวัย



- หลีกเลี่ยงการไปนอกสถานที่ที่กินเวลานานๆ และต้องอยู่อย่างเป็นระเบียบ ถ้าต้องเดินทางไปไหนก็ให้พกหนังสือเล่มโปรดหรือของเล่นที่ชอบ



- เตรียมของว่างที่มีประโยชน์เผื่อเวลาลูกหิว และแน่ใจว่าลูกได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ก่อนออกเดินทาง



- เบี่ยงเบนความสนใจของเด็กจากกิจกรรมที่อาจนำไปสู่การร้องอาละวาด แนะนำกิจกรรมที่ต่างออกไป ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่อาจต้องทำอะไรขบขันเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้น บางครั้งแค่เปลี่ยนสถานที่ก็ได้



- พยายามเลือกใช้คำอื่นแทนคำว่า “ไม่, อย่า” เพราะถ้าใช้บ่อยๆ เด็กก็จะหงุดหงิดได้ง่าย



- เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเองบ้าง



- เป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการกับอารมณ์



รับมืออย่างไรดี เมื่อเด็กร้องอาละวาดไปแล้ว?



- เบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก เช่น กิจกรรมใหม่ หนังสือ ของเล่น พยายามใช้คำพูดที่ละมุนละม่อม “อุ้ย แม่ได้ยินใครกดกริ่งที่ประตูแน่ะ” การทำหน้าตลกๆ หรือทำให้เป็นเรื่องขบขันก็อาจช่วยได้ บางครั้งควรบอกเด็กด้วยว่าให้ไปทำอะไรแทน



- ใจเย็น ถ้าพ่อแม่ก็โมโห จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง จำไว้ว่ายิ่งให้ความสนใจพฤติกรรมนี้มากเท่าไร มันก็จะยิ่งเกิดขึ้นบ่อยเท่านั้น



- การแสดงออกว่าโกรธที่ไม่รุนแรง เช่น ร้องไห้ กรีดร้อง เตะขา อาจเพิกเฉยได้ โดยยืนดูใกล้ๆ หรือจับตัวเด็กไว้ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรจนกว่าเด็กจะสงบ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ให้เดินออกมาจากห้องนั้นก่อน รอประมาณ 1 - 2 นาที ก่อนเดินกลับเข้าไปหรือจนกว่าลูกจะหยุดร้อง จากนั้นพยายามช่วยให้เขาไปสนใจสิ่งอื่นแทน ถ้าเด็กโตพอที่จะเข้าใจก็ลองพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและวิธีแก้ไขในครั้งต่อไป



- การร้องอาละวาดที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ได้แก่ ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น ทำร้ายข้าวของ กรีดร้องหรือตะโกนเป็นเวลานานมากๆ ใช้การขอเวลานอก คือนำเด็กออกจากสถานที่เกิดเหตุ พาไปที่ที่เขาจะควบคุมตัวเองได้ ใช้สำหรับเด็กที่โตพอจะเข้าใจเหตุผล โดยให้เวลานอก 1 นาทีต่ออายุเป็นปี เช่น อายุ 4 ปี ให้ทำนาน 4 นาที เป็นต้น



- ไม่ควรทำโทษเด็กขณะร้องอาละวาด เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กเก็บความคับข้องใจไว้และมีปัญหาทางอารมณ์ต่อไป ควรตอบสนองกับพฤติกรรมร้องอาละวาดอย่างสงบ และเข้าใจให้มากที่สุด เมื่อเด็กโตขึ้นเขาก็จะเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตนเอง จำไว้ว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กที่จะทดสอบกฎของพ่อแม่ว่าจะเอาจริงหรือไม่



- พยายามอย่าใช้รางวัลเพื่อให้เด็กหยุดพฤติกรรม เพราะจะทำให้เด็กคิดว่าวิธีนี้ทำให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการ



- พ่อแม่ควรมีความเสมอต้นเสมอปลาย อย่าไปแสดงท่าทางลังเลกับคำสั่งของเราเอง เพราะจะยิ่งทำให้เด็กสับสนว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้



- ก่อนจะตั้งกฎอะไร พ่อแม่ต้องมั่นใจด้วยว่าตนเองมีเวลาในแต่ละวันที่ได้สนุกสนานกับลูก และไม่ควรตั้งกฎไว้มากจนเกินไป ทุกคนในบ้านก็ต้องหนักแน่นกับกฎนั้น ปฏิบัติต่อเด็กให้เหมือนกัน



เมื่อไรการร้องอาละวาดนั้นน่าเป็นห่วง?



โดยทั่วไปเด็กจะลดการร้องอาละวาดลงเองเมื่อเข้าขวบปีที่ 4 โดยที่พฤติกรรมอื่นๆ ก็ดูสมวัยดี แต่ถ้าการร้องอาละวาดนั้นดูรุนแรงมากหรือเกิดขึ้นถี่เกินไป อาจเป็นสัญญาณต้นๆ ของปัญหาทางอารมณ์



ปรึกษากุมารแพทย์เมื่อไร เพื่ออะไร?



เมื่อเด็กทำร้ายตนเองหรือคนอื่นขณะที่กำลังร้องอาละวาด หรือแย่ลงหลังอายุ 4 ปี เพื่อดูว่าเด็กมีปัญหาทางกายภาพหรือจิตใจแอบแฝงอยู่หรือไม่











ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ป้ายกำกับ: ,

“เสพยาทางเน็ต” ภัยใหม่วัยโจ๋

หลังจากที่ผ่านมาพ่อแม่ผู้ปกครองหลายต่อหลายคนต้องมานั่งระวังไม่ให้ลูกไปติดเกมออนไลน์บ้าง หรือไม่ก็ต้องระวังไม่ให้เขาดูสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ตบ้าง แต่ดูเหมือนเรื่องเหล่านั้นจะกลายเป็นโรคเรื้อรังไปซะแล้ว เพราะก็ยังหาทางนำสิ่งเหล่านี้ออกไปจากชีวิตของลูกๆ ไม่ได้เสียที เพราะสื่ออินเทอร์เน็ตเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยาก พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็ได้แต่ปลูกฝังศีลธรรมให้กับลูกหลานของพวกเขาแทน ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ดีที่สุด



แต่ล่าสุดก็มี "ภัยสังคม" แบบใหม่เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ "การเสพยาทางอินเทอร์เน็ต"



รูปแบบการเสพยาทางอินเทอร์เน็ตก็คือ มีการชักชวนกันผ่านทางเว็บแชตบ้าง หรือไม่ก็ทางอีเมล์ส่วนตัว บ้างก็เชิญชวนผ่านการแชต แต่การชักชวนแบบนี้จะไม่ชักชวนเป็นภาษาตรงๆ จะใช้คำพูดเช่น "อยากกินขนมมั้ย" อะไรประมาณนี้ ซึ่งเป็นไปได้ยากที่ผู้ใหญ่จะทราบ



เรื่องนี้เป็นภาระหนักไม่แพ้เรื่องลูกติดเกมหรือสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ตเลย แต่ดูเหมือนจะหนักยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะคำเชื้อเชิญต่างๆ มาใช้ภาษาที่ดูธรรมดาเสียเหลือเกิน ถ้าเราอยู่วงนอกเราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคำพูดเหล่านั้นหมายถึงอะไร



วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องพยายามทำตัวคุ้นเคยกับเด็ก เวลาที่มีเรื่องอะไร เด็กๆ จะได้กล้าที่จะเล่าให้เราฟัง และต้องพยายามทำตัวให้เป็นเพื่อนกับเขา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องปลูกฝังให้เขาห่างไกลสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้รู้ว่ายาเสพติดเป็นสิ่งไม่ดี และชี้ให้เขาเห็นว่าถ้าเอาชีวิตไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะแย่แค่ไหน



เรื่องบางเรื่องเราปล่อยให้เขาเรียนผิดเรียนถูกด้วยตัวเองไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าเขาสามารถกลับตัวกลับใจได้ ในเวลาที่ไม่นานจนเกินไป เขาก็อาจจะมีอนาคตที่ดีได้ แต่ถ้าเขาถลำลึกนานจนเกินไป มันก็อาจจะสายเกินแก้ เสียผู้เสียคนไปเลยก็ได้



นอกจากนี้ผมอยากจะฝากเตือนไปยังเด็กวัยรุ่นด้วย จริงอยู่ครับสิ่งที่ผมพูดและเขียนถึง ทุกคนอาจจะได้ยินได้ฟังมานานแล้ว และบางคนอาจจะเบื่อ มองว่าทำไมผมต้องมาพูดซ้ำๆ ซากๆ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมก็ไม่อยากปล่อยปละละเลย เพราะไม่อยากให้มันสายเกินแก้



น้องๆ เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ท่านดูแลและทะนุถนอมฟูมฟักเรามา ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านนะว่า พวกท่านจะเจ็บปวดมากแค่ไหน ถ้ารู้ว่าลูกไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น เราควรจะทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พ่อแม่ทุกคนไม่หวังอะไรมากหรอกครับ ท่านก็แค่อยากให้ลูกที่ท่านรักมีอนาคตที่ดี มีชีวิตที่สดใสครับ











ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ป้ายกำกับ: ,

ทีวีไทยทำร้ายคนดู-โดยเฉพาะเด็ก

ระบุเด็กก้าวร้าว-มุ่งเรื่องเพศสูง ก่อปัญหาท้องก่อนวัย



หลายปีมานี้เป็นช่วงฉวยโอกาสของสื่อย่างทีวี-วิทยุ โดยเฉพาะทีวี กับ หลักการดูแลตัวเองผ่านข้ออ้างด้านการกำหนดช่วงเวลากระตุ้นสำนึก



แต่การปฏิบัติจริงไม่มีผู้บริหารทีวี.สำนึกที่ดี คิดแต่ว่าจะทำกำไรสูงสุดยังไม่สนใจว่าจะเกิดผลร้ายแก่ผู้คนสังคมประเทศชาติ



ละครแทบทุกเรื่องในทีวี. ทุกช่องล้วนแล้วแต่ไม่ประเทืองปัญญาไม่เป็นแบอย่างที่ดีงาม



แนวดังกล่าวดูเหมือนจะให้ความสุขคนดูชื่นชอบ แต่นั่นคือบ่อลาปลาของผู้บริหารทีวี. ที่กำลังยัดเยียดความทุกข์แบบผ่อนส่งแก้ประชาชนโดยไม่รู้ตัวเพียงเพราะหวังกอบโกยประโยชน์



ผมว่าอาจเอาจากเนื้อหาผลสำรวจจากลุ่มคน-องค์กรที่ห่วงผ่านเวทีเสวนาบางส่วนต่อไปนี้ครับ



"โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) และเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ จัดเสวนา "ความรุนแรงในละครโทรทัศน์ทางฟรีทีวี" โดยนายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผจก.กลุ่มงานวิชาการโครงการฯ พบว่าในรอบปี 2551 มีละครแพร่ภาพ 113 เรื่อง โดยช่อง 7 มีมากที่สุดถึง 62 เรื่อง และออกอากาศมากที่สุด 26 ชม. 20 นาที ต่อสัปดาห์ตามด้วยช่อง 3 จำนวน 39 เรื่อง ช่อง 5 จำนวน 9 เรื่อง ทีวีไทย จำนวน 2 เรื่อง ช่อง 9 จำนวน 1 เรื่อง ละครไทย 80% อยู่ในเรต น.13 และ 18 คือ มีความรุนแรง เพศ ภาษา และมีละครเรต ท.เพียง 20% เท่านั้น"



นายธาม กล่าวว่า ละครส่วนใหญ่ 110 เรื่องมีปมขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงและบางเรื่องมีมากกว่า 1 รูปแบบ ละครช่อง 3 จะมีปมความขัดแย้งในละครทุกเรื่องปมขัดแย้งเรื่องความรักมากที่สุด 36% โดยชิงรักหักสวาทนำไปสู่ความรุนแรงเช่น ฆาตกรรม ทำร้ายร่างกาย ดูถูกเหยียดหยาม ใส่ร้าย กักขัง และข่มขืน ทั้งนี้ยังพบการสร้างปมอาฆาต แก้แค้นอิจฉาริษยา แก่งแย่ง มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การวางแผนฆ่า ซึ่งเป็นการทำความรุนแรงทั้งต่อร่างกาย จิตใจ เพศ วัตถุ ด้วยวิธีต่างๆ และสอดแทรกความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ทั้งทางสังคม ทางเพศเศรษฐกิจ และการเมือง ทำให้เกิดการแบ่งแยก กีดกันต่างๆ ซึ่งพบในละครทุกเรื่อง



"ละคร 113 เรื่อง มี 10 เรื่อง ที่มีแก่นของเรื่องที่ดี อาทิ ส่งเสริมให้คนทำความดี ธรรมะชนะอธรรม ส่งเสริมสถาบันครอบครัว กำหนดคุณค่าของบุคคลโดยสังคม การให้อภัย ความรักมิตรภาพ ความสามัคคี การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงและการส่งเสริมสำนึกรักบ้านเกิด ที่น่าเสียดายคือแก่นเรื่องดี แต่วิธีนำเสนอใช้ความรุนแรงมากไป โดยมี 10 สูตรยอดนิยมวนเวียนไม่เคยเปลี่ยน เช่น เข้าใจผิดแก้แค้น ทาสสวาท แล้วเราก็รักกัน พ่อแม่ เธอทำชั้นเจ็บ ต้องเจ็บกว่า 10 เท่า"



นางอัญญาอร พานิชพึ่งรัถ เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ กล่าวว่า การศึกษา "การประเมินการจัดระดับความเหมาะสมของละครโทรทัศน์" ที่ได้ประเมินละครทางโทรทัศน์ทั้งก่อนและหลังข่าวเวลา 16.00-22.30 น. วันที่ 9 มี.ค. -22 มี.ค. ที่ผ่านมา ตามคู่มือการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ จากทั้งหมด 20 รายการ พบมี 3 รายการที่ใช้ น.13 แต่เมื่อประเมินแล้วพบว่าอยู่ในช่วง น.18 และเป็นละครที่อยู่ในช่วงก่อนข่าว โดยเฉลี่ยทุกสถานีโทรทัศน์พบว่า มีรายการที่ใช้เรต "ท." อยู่ที่ 30% เรต "น.13" อยู่ที่ 40% และเรต "น.18" อยู่ที่ 30% ซึ่งช่วงดังกล่าวไม่พบเรต ด.เลย พบว่าระดับความรุนแรงในแต่ละสถานีโทรทัศน์เฉลี่ยต่อเรื่อง ช่อง 5 มีมากที่สุดคือร้อยละ 5.2 ช่อง 7 ร้อยละ 4.8 ช่อง 3 อยู่ที่ 3.8 และช่อง 9 อยู่ที่ 3.0 จึงอยากจัดตั้งองค์กรที่มีหน้าที่ประเมินรายการโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องเป็นรูปธรรม และมีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคด้านสื่อด้วย



นพ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า ผลกระทบจากสื่อไปถึงเยาวชน จากพฤติกรรมต่างๆ ที่เด็กแสดงออกมาทั้งความก้าวร้าว การแสดงออกเรื่องเพศ เห็นได้ชัดจากการท้องก่อนวัยอันควร การเป็นแม่ในวัยรุ่นซึ่งมีผลการวิจัยว่า หากมีฉากความรุนแรงทางเพศ 4 ฉากต่อชั่วโมงจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมได้อย่างชัดเจน จึงควรกำหนดฉากความรุนแรงโดยจัดให้อยู่ในเรต ฉ.และใช้มติ ครม.ในการกำหนดช่วงเวลาในการออกอากาศที่เหมาะสมกับเรตติ้ง



นายต่อพงศ์ เสลานนท์ อุนกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า ขณะนี้กำลังมีการยกร่างกฎหมายประกาศเพื่อควบคุมสื่อต่างๆ เช่น การกำหนดเวลา











ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

ป้ายกำกับ:

"เด็กก้าวร้าว" พฤติกรรมตามวัยจริงหรือ?

การแสดงความก้าวร้าวของเด็กเล็กอาจเกิดขึ้นได้ เช่น พูดจาหยาบคาย ต่อว่า ไม่เคารพผู้อื่น ทุบตี หยิก กัด ผลัก ขว้างปา ทำลายสิ่งของหรืออาจรุนแรงถึงขั้นทารุณกรรมสิ่งมีชีวิตให้บาดเจ็บหรือล้มตาย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการฝึกเด็กให้ละเมิดสิทธิผู้อื่นจนเกิดความเสียหายทางร่างกาย ทรัพย์สิน หรือทำให้ผู้อื่นกระทบกระเทือนจิตใจ



ทั้งนี้ ความก้าวร้าว อาละวาดง่ายในเด็กอายุ 2 - 5 ปี อาจเกิดขึ้นได้เพราะยังเป็นวัยที่ขาดการควบคุมอารมณ์ตนเอง หรือเด็กบางคนมีพื้นเพทางอารมณ์เป็นเด็กเลี้ยงยาก ปรับตัวยาก จึงเกิดความคับข้องใจและแสดงออกโดยการอาละวาดได้บ่อย ซึ่งสาเหตุของความก้าวร้าวอาจมาจาก



1. สาเหตุทางชีวภาพ อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น พ่อแม่มีอารมณ์ร้าย ดุ ก้าวร้าว ฉุนเฉียวง่าย อาละวาดเก่ง หรือถ้าพบว่าเด็กแสดงออกอย่างก้าวร้าวมากๆ และเป็นบ่อยๆ ควรคำนึงถึงโรคใดโรคหนึ่ง เช่น สมาธิบกพร่อง ไฮเปอร์แอคทีฟ ออทิสติก หรือสมองพิการ



2. สภาพจิตใจของเด็ก เด็กไม่มีความสุข เศร้า กังวล ขี้ตื่นเต้น ตกใจง่าย เด็กที่คับข้องใจบ่อยๆ และถูกกดดันเสมอๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหงุดหงิดและอาจแสดงวาจากิริยาก้าวร้าวได้



3. การเลี้ยงดูภายในครอบครัว



- การทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ดูแลเด็ก

- การลงโทษรุนแรง

- การตามใจและยอมตามเด็กเสมอ

- การทะเลาะกันภายในครอบครัว

- การยั่วยุอารมณ์ให้เด็กโกรธ

- การขาดระเบียบวินัยในชีวิต

- การที่เด็กทำผิดแล้วผู้ใหญ่ให้ท้าย

- การสื่อความหมายไม่ชัดเจน ทำให้เด็กสับสน กังวล ไม่รู้จักความผิดที่แน่นอน



4. จากสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม เด็กที่ดูภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิดีโอ ที่แสดงออกถึงความก้าวร้าวรุนแรง ไม่มีกิจกรรมอื่นที่เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายเพื่อคลายเครียด เมื่อถูกเร้าให้เกิดความเครียดส่วนใหญ่ก็มักจะแสดงออกเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวได้ง่าย



นอกจากนี้ข่าวสารต่างๆ ปัญหาความเครียดในสังคม ท่าที ทัศนคติของเพื่อน คุณครู ฯลฯ ล้วนก่อให้เกิดความเครียดหรือเป็นแบบอย่างของความก้าวร้าวได้ทั้งสิ้น และเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ตลอดจนผู้เลี้ยงดูในการช่วยเหลือปรับพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กให้ดีขึ้นได้



วิธีป้องกันและแก้ไข



1. ผู้ใหญ่ต้องหยุดการกระทำอันก้าวร้าวของเด็กโดยทันที และต้องไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงเพราะเป็นการสอนให้เด็กเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว เช่น หากเด็กมีการขว้างปาสิ่งของ หรือทุบตีผู้อื่น อาจจัดการให้เด็กหยุดด้วยวิธีสงบ เช่น จับมือรวบตัวเอาไว้ บอกสั้นๆ ว่าตีไม่ได้ และของชิ้นนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อปา



ในขณะเดียวกัน การพูดว่า "แม่รู้ว่าหนูโกรธ แต่เราไม่อนุญาตให้ตีกัน และแม่ก็ไม่อนุญาตให้น้องทำกับหนูเช่นกัน" จะเป็นตัวช่วยให้เด็กเข้าใจความรู้สึกโกรธ และหยุดยั้งการกระทำของเด็กได้ในเวลาเดียวกัน



2. แนะนำทางออกอื่นให้เด็ก เช่น เมื่อเด็กโกรธกันขึ้นมา ก็สามารถเดินมาบอกผู้ใหญ่ให้ว่ากล่าวคู่กรณีได้ แต่ตีกันไม่ได้ เด็กจะเรียนรู้ว่าการก้าวร้าวเป็นสิ่งที่เราไม่ยอมรับ แต่เราเข้าใจความรู้สึกเขา และเตรียมทางออกที่เหมาะสมเอาไว้ วิธีนี้ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แม้จะพบว่าเด็กมีอาการอีกเป็นครั้งคราวเพราะเด็กยังระงับอารมณ์ได้ไม่หมด



3. ไม่ควรตอบตกลง หรือต่อรองกันในขณะที่เด็กมีอารมณ์หรือพฤติกรรมก้าวร้าว เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่า ผู้ใหญ่จะตอบสนองความต้องการของเขา เฉพาะในช่วงที่อารมณ์สงบ และมีพฤติกรรมที่เหมาะสมเท่านั้น



4. ผู้ใหญ่ต้องระวังที่จะไม่มีอารมณ์ตอบโต้เด็ก หรือเอาชนะกัน



5. การลงโทษเด็กไม่ควรใช้ความรุนแรง อาจใช้วิธีแยกเด็กอยู่ตามลำพังระยะหนึ่ง (Time Out: 1 นาทีต่อเด็กอายุ 1 ปี) โดยมีการสื่อให้เด็กเข้าใจว่า การรบกวนผู้อื่นเป็นสิ่งไม่สมควร เมื่อสงบแล้วค่อยมาพูดจากันใหม่ บางครั้งอาจใช้วิธีงดสิทธิบางอย่างเข้าช่วยด้วย



6. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเอง เช่น ซ่อมแซมของที่ชำรุดเสียหาย (โดยพิจารณาตามความเหมาะสมค่ะ)



7. หลีกเลี่ยงการตำหนิ ต่อว่า เปรียบเทียบ ให้เด็กรู้สึกเป็นปมด้อย การขู่หรือหลอกให้กลัว ตลอดจนการยั่วยุให้โกรธ โดยผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างของความปรองดอง เป็นมิตรต่อกันให้เด็กเห็น







เรียบเรียงข้อมูลจาก: สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี



ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

ป้ายกำกับ:

ความรู้เรื่องช้าง

ลักษณะทั่วไปของช้าง







ช้างเป็นสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ที่เหลืออยู่เพียงชนิดเดียวในโลก และเหลือสายพันธุ์อันสำคัญอยู่เพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น ในทางวิชาการสามารถอธิบายรายละเอียดของช้างไว้ดังนี้
ช้าง (Elephants)
Order : Procoscidea
Family : Elephantidea
Genus : Elephas
Spicies : Maximus



ใน Family นี้มีช้างสองชนิดคือ ช้างแอฟริกา (African Elephant) และช้างเอเชีย (Asian Elephant)

1. ลักษณะทั่วไปของช้างแอฟริกา



ช้างแอฟริกา (African Elephant) ชื่อวิทยาศาสตร์ Loxodonta Africana พบในทวีป แอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา
ถิ่นที่อยู่อาศัย : ทุ่งหญ้าและป่าโปร่ง
ขนาด (โดยเฉลี่ยของตัวผู้) : ความยาวจากหัวถึงหาง 6 – 7.5 เมตร สูง 3.3 เมตร น้ำหนัก 6 ตัน
อายุ (โดยเฉลี่ย) : 60 ปี

ลักษณะ : ลำตัวใหญ่กว่าช้างเอเชีย มีงายาวทั้งในตัวผู้และตัวเมีย หูมีขนาดใหญ่กว่าช้างเอเชีย หลังเว้าลง หน้าผากมีโหนกเดียว เท้าหน้ามีเล็บ 4 เล็บ เท้าหลังมี 3 เล็บ ปลายงวงมีจะงอยบนและจะงอยล่าง ทำหน้าที่คล้ายมือช่วยจับสิ่งของได้

2. ลักษณะทั่วไปของช้างเอเชีย



ช้างเอเชีย (Asian Elephant) ชื่อวิทยาศาสตร์ Elephas maximus
พบในอินเดียและบริเวณประเทศใกล้เคียงอินเดีย อินโดจีน ตอนใต้ของจีน มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย
ถิ่นที่อยู่อาศัย : ป่าทึบและป่าโปร่ง
ขนาด : วัดจากหัวถึงหาง 5.5 – 6.4 เมตร สูง 2.5 – 3 เมตร น้ำหนัก 5 ตัน
อายุ 60 ปี

ลักษณะ : ขนาดเล็กกว่าช้างแอฟริกา มีงายาวเฉพาะตัวผู้ ตัวเมียมีวาแต่สั้นมาก โผล่แค่ริมฝีปาก หูมีขนาดเล็กกว่าช้างแอฟริกา หลังโค้งขึ้น หน้าผากมีสองโหนก เท้าหน้ามีเล็บห้าเล็บ เท้าหลังมีสี่เล็บ ปลายงวงมีจะงอยบน 1 อันใช้เป็นมือหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ



ช้างเป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งมีอายุมากร่างกายก็จะใหญ่ขึ้น และงาก็ยิ่งยาวออกตามขนาดตัวไปด้วย ช้างเป็นสัตว์ที่ไม่เคยหยุดเจริญเติบโต จนกระทั่งตาย

ฟันช้างจะเชื่อมเป็นชิ้นเดียวกันมีโรงสร้างที่เหมาะสมกับการบดอาหารหยาบ เช่น เปลือกไม้ กิ่งไม้ ผลไม้เปลือกแข็ง งาช้างคือฟันบนส่วนหน้าของช้างที่เปลี่ยนแปลงไปและยื่นยาวออกมา

ส่วนบนของปากและจมูกวิวัฒนาการมาเป็นงวง ใช้หายใจ พ่นฝุ่นดิน ดูดน้ำเพื่อดื่มและใช้เป็นมือหยิบจับของและเหนี่ยวหักกิ่งไม้ งวงเป็นจมูกที่มีความไวต่อกลิ่นมาก นอกจากนั้นยังช่วยให้ช้างร้องเสียงดังด้วย

ใบหูที่มีขนาดใหญ่จะเต็มไปด้วยเส้นเลือด หูจะโบกพัดตลอดเวลาเพื่อระบายความร้อนภายในร่างกายสู่ภายนอก นอกจากช้างจะตาดี จมูกไวแล้ว หูช้างยังไวต่อการได้ยิน ช้างจะใช้เสียงความถี่ต่ำมากในการสื่อสารกัน และถึงแม้จะอยู่ห่างกันถึง 1 กิโลเมตร ก็ยังสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ส่วนเท้าของช้างมีความนิ่มเป็นพิเศษ เพราะห่อหุ้มด้วยเนื้อเยื่อและไขมัน



ช้างไม่มีระบบกระเพาะเคี้ยวเอื้อง อาหารที่ช้างกินจะมีแบคทีเรียในลำไส้ช่วยย่อย ช้างกินอาหารจุใช้เวลาส่วนใหญ่ (ประมาณวันละ 18 ชั่วโมง) หาอาหารกิน โดยเฉลี่ยช้างจะกินอาหารประมาณ 200 กิโลกรัมต่อวัน น้ำมีความสำคัญต่อช้างมาก นอกจากจะใช้ชำระร่างกายแล้วช้างต้องดื่มน้ำวันละ 200 ลิตร

อาหารของช้าง ช้างเป็นสัตว์ที่ไม่กินเนื้อเป็นอาหาร ส่วนใหญ่ชอบกินต้นไม้ใบหญ้า อาหารที่มีสีเขียวจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายช้าง มากกว่าอาหารที่มีสีเหลือง ซึ่งย่อยยากและทำให้ท้องผูก ซึ่งอาหารที่ช้างชอบกิน เช่น ไผ่ ยอดไม้ กล้วย ขนุน ข้าวโพด อ้อย แตงโม เป็นต้น

ช้างเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูงที่เรียกว่าโขลง มีความสัมพันธ์กัน แบ่งหน้าที่ระมัดระวังความปลอดภัย ช่วยกันดูแลลูกช้าง ช้างที่มีอายุมากและมีความรู้ มีประสบการณ์ใช้ชีวิตในป่ามากจะสอนช้างรุ่นใหม่ให้รู้วิธีการดำรงชีวิตในป่า



ช้างโขลงหนึ่ง มีตั้งแต่ 10 – 20 ช้าง หรือ 30 – 50 ช้าง คล้าย ๆ กับคนที่ต้องอาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง ช้างตัวเมียที่อาวุโสที่สุดจะเป็นผู้นำโขลง ในโขลงช้างจะประกอบด้วยช้างตัวเมียและลูกช้างเป็นส่วนมาก เมื่อช้างตัวผู้โตเต็มที่จะแยกตัวจากโขลงไป

ช้างเริ่มมีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 12 ปี แต่ปกติแล้ว ช้างจะโตเต็มที่และแข็งแรงที่สุดเมื่อมีอายุ 25 ปี ขึ้นไปจนถึง 45 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่ช้างตัวเมียอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ โดยช้างจะใช้เวลาตั้งท้องนาน 21 – 22 เดือน ช้างจะออกลูกครั้งละ 1 ตัว เมื่อออกลูกแล้วต้องรอเวลาอีก 3 – 4 ปี จึงมีโอกาสตั้งท้องอีก โดยเฉลี่ยแม่ช้างจะมีลูกได้เพียง 4 ครั้ง ช้างเอเชีย จัดเป็นสัตว์ชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์ในทุกแหล่งกระจายพันธุ์ของสัตว์ชนิดนี้ ซึ่งได้แก่ ประเทศในทวีปเอเชีย 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ภูฐาน เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย

ป้ายกำกับ:

สมุนไพรหญ้าดอกขาว ทางเลือกช่วยอดบุหรี่

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับวันงดสูบบุหรี่โลก แต่วันไหนก็สามารถไม่สูบบุหรี่ได้เหมือนๆ กัน หากเราเล็งเห็นว่าบุหรี่เป็นยาเสพติด สร้างอันตรายต่อสุขภาพ



ล่าสุด นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้กล่าวถึงแนวทางการนำสมุนไพรหญ้าดอกขาวมาใช้เพื่อการอดบุหรี่ว่า หลังจากที่มีการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งด้านกฎหมายและด้านสังคม มีวิธีการหลากหลายที่จะช่วยให้ผู้ต้องการอดบุหรี่ได้ใช้กัน หนึ่งในหลายวิธีนั้นคือ การนำสมุนไพรหญ้าดอกขาวมาผลิตเป็นชาสมุนไพรชงดื่ม เพื่อลดอาการอยากบุหรี่ของคนที่ติดบุหรี่



ปัจจุบันมีการดำเนินการในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลท่าแซะ จังหวัดชุมพร เปิดคลินิกอดบุหรี่ใช้รูปแบบการบำบัดรักษาแบบผสมผสานทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยการใช้ชาชงสมุนไพรหญ้าดอกขาว 1 ซอง ละลายน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร รับประทานวิตามินซี (100 มิลิกรัม) 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร และใช้น้ำยาอมบ้วนปากเวลาที่มีอาการอยากบุหรี่ ใช้เวลาประมาณ 1 - 2 เดือน พบว่าได้ผลดี



นพ.นรา เล่าถึงสรรพคุณของหญ้าดอกขาวอีกว่า หญ้าดอกขาว หรือหญ้าหมอน้อย เป็นพืชล้มลุก ขนาดเล็ก สูง 1 - 5 ฟุต ขึ้นง่าย หาง่าย ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนนุ่ม ใบมีหลายรูป รูปไข่รี ปลายและโคนแหลม ผิวค่อนข้างเรียบ ดอกเล็กกลมเป็นพู่ มีสรรพคุณตามตำราโบราณระบุไว้ว่า ทั้งต้นมีรสเย็นขื่น ต้มดื่มลดไข้ แก้ไอ แก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบเฉียบพลัน แก้ริดสีดวงทวาร บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง คั้นเอาน้ำดื่มกระตุ้นให้เจ็บท้องคลอด ขับรก ขับระดู แก้ปวดท้อง ท้องขึ้นอืดเฟ้อ ตำพอกแก้บวม ดูดฝีหนอง



ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ทำการวิจัยสมุนไพรหญ้าดอกขาวเพื่อการอดบุหรี่ ซึ่งสมุนไพร "หญ้าดอกขาว" เป็นหญ้าที่พบทั่วไปของประเทศไทย มีสรรพคุณในการช่วยลดการสูบบุหรี่ได้ เนื่องจากสมุนไพรหญ้าดอกขาวมีสารไนเตรต ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ประสาทรับรสบริเวณลิ้นรู้สึกชา ทำให้ผู้ที่บริโภคเข้าไปไม่รับรู้รสชาติใดๆ จึงไม่รู้สึกอยากบุหรี่ เนื่องจากหญ้าดอกขาวเป็นกลุ่มที่มีโปแตสเซียมสูง การใช้ควรระวังในรายที่มีประวัติโรคหัวใจ สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น อาจมีอาการคอแห้ง ปากแห้ง เป็นต้น











ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ป้ายกำกับ:

หน้าแก่…ผิดที่สูบบุหรี่

จะว่าไปแล้วเรื่องความอ่อนเยาว์ของใบหน้านั้นคงขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ทั้งการดูแลเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ถือเป็นเรื่องเบสิกง่ายๆ ที่ใครก็รู้ดีว่า ถ้าปฏิบัติได้ทั้ง 3 อย่างนี้ ความอ่อนเยาว์ก็จะอยู่คู่กับเราอีกนาน ไม่ว่าวัยจะล่วงเลยไปอีกกี่ปีก็ตาม



แต่!!! คนสมัยนี้หน้าแก่กว่าวัยเยอะ ที่เขียนแบบนี้ไม่ใช่การปรักปรำ แต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เคยสงสัยไหมว่าทำไมเด็กวัยรุ่นบางคนอายุน้อยๆ แต่หน้าแก่เร็ว เมื่อเปรียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน จะเพราะว่าสภาวะความเครียดของเด็กสมัยนี้มีมากขึ้นพอๆ กับผู้ใหญ่หรือเปล่า นั่นก็อาจจะมีส่วน แต่ส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดและคาตา คือ ค่านิยมที่ผิดๆ เกี่ยวกับ “การสูบบุหรี่” ของเด็กวัยรุ่นที่นิยมสูบเอาเท่นั่นเอง



สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานผลสำรวจว่า ขณะนี้วัยรุ่นไทยติดบุหรี่กว่า 500,000 คน และมีแนวโน้มที่จะสูงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเยาวชนอายุ 15–24 ปี ซึ่งพบว่ากว่าร้อยละ 90 เริ่มสูบบุหรี่ก่อนอายุ 25 ปี จากสถิตที่อ้างถึงนี้คงไม่ต้องแปลกใจของที่มาริ้วรอยก่อนวัยเลยใช่ไหม?



นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง กล่าวถึงปัญหาการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นไทยในแง่ของความสวยงามว่า “แพทย์ผิวหนังสามารถบอกได้เลยว่าผู้ที่สูบบุหรี่นั้นใช้นิ้วมือไหนคีบบุหรี่ เพราะควันจากบุหรี่จะรมใบหน้าซีกนั้นให้เหี่ยวแก่หย่อนยานไปกว่าอีกซีก และควันบุหรี่ยังทำให้แสบตา ต้องหยีตา จึงเกิดตีนกา ผู้ที่สูบบุหรี่จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวแก่ทำให้ใบหน้าแก่กว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ไม่สูบนับ 20 ปี เดี๋ยวนี้พบเด็กวัยรุ่นทั้งหญิงชายที่หน้าแก่กันเยอะ เพราะวัยรุ่นบางส่วนมีค่านิยมผิดๆ ที่หันมาสูบบุหรี่เพื่อเพิ่มความเท่”



นอกจากนั้นยังพบว่าการเที่ยวกลางคืนในสถานบริการที่อบอวลไปด้วยควันบุหรี่ ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน แม้ตัวเองจะไม่ได้สูบ ทั้งนี้ เพราะควันบุหรี่ลอยมาตามลมก็ทำร้ายผู้ที่ไม่สูบได้ ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ จะเกิดรอยตีนกาเพราะสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยงผิวหนังหดตัว ผิวพรรณจึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ในขณะเดียวกันของเสียจากเซลล์ผิวหนัง คือ คาร์บอนไดออกไซด์จะสะสมในเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองไม่ได้



อีกทั้งการสูบบุหรี่นั้นทำอันตรายต่อผิวหนังได้รุนแรงพอๆ กับการโดนแสงแดดเผา เพราะภัยของบุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหดรั้งตัว จึงเกิดรอยย่นรอบดวงตา ตามหน้าผากและรอบปาก ทำให้เล็บมือมีสีเหลือง ฟันมีคราบสีน้ำตาล มีกลิ่นปาก ซึ่งล้วนทำลายบุคลิกภาพ และยังทำให้หลอดเลือดอุดตัน เกิดแผลเรื้อรังที่มือและขาได้



เห็นไหมว่าแค่บุหรี่หรือแม้แต่ควันบุหรี่นั้น ก็สามารถฆ่าความสวยความหล่อตามวัยของคุณได้ เลิกบุหรี่ตั้งแต่วันนี้คงยังไม่สาย แถมได้ความอ่อนเยาว์กลับคืนมาอีกด้วย













ที่มา: หนังสือบางกอกทูเดย์

ป้ายกำกับ: ,

พันธมิตรใหม่ต่อต้านยาสูบ

ข้อมูลธนาคารโลก พ.ศ. 2538 ระบุว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 องค์กรในเยอรมันที่มีชื่อว่า “Rauchzeichen” หรือภาษาอังกฤษแปลว่า “Smoke signal” ได้รณรงค์ในเยอรมัน และสหภาพยุโรป ถึงการเอารัดเอาเปรียบชาวไร่ยาสูบ โดยบริษัทบุหรี่ และการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำไร่ยาสูบในอัฟริกา



แถลงการณ์ขององค์กร เมื่อวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมาระบุว่า “ต้องเปิดโปงความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่ เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่รู้ว่า บริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่เท่านั้นที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากธุรกิจนี้ ธุรกิจบุหรี่หากำไรจากแรงงานทาส แรงงานเด็ก และทำลายป่าในประเทศซีกโลกใต้”



ทั้งนี้มากกว่า ร้อยละ 80 ของใบยาในโลกนี้ เพาะปลูกในอัฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ การทำไร่ยาสูบในพื้นที่เหล่านี้นำมาซึ่งความยากจน แรงงานทาส และการทำลายป่า ตัวอย่างเช่น ในประเทศมาลาวี ร้อยละ 70 ของรายได้เงินตราจากต่างประเทศมาจากการเพาะปลูกยาสูบ ใบยาสูบมาลาวีถูกนำไปผสมอยู่ในบุหรี่ยี่ห้อนำหน้าของโลก มีชาวไร่ยาสูบห้าแสนคนเป็นแรงงานที่ไม่มีสัญญาจ้างอย่างถูกกฎหมาย มีความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่มาก เช่น ขาดน้ำดื่มสะอาด ขาดที่อยู่อาศัย และอาหารที่เพียงพอ



คำเตือนที่ Rauchzeichen รณรงค์ให้สหภาพยุโรปใช้ คือ







ธุรกิจยาสูบทำลายป่า โดยการผลิตบุหรี่ทุก 300 มวน จะต้องโค่นต้นไม้หนึ่งต้น และในระดับโลกต้นไม้ 1 ใน 25 ต้น ที่ถูกตัด ถูกนำมาเป็นฟืนบ่มใบยาสูบ ซึ่งในปี พ.ศ. 2535 ทั่วโลกสูบบุหรี่ 5,391,791 ล้านมวน โดยใช้กระดาษในการมวนบุหรี่ทั้งสิ้น 350,478 ตัน



















ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

ป้ายกำกับ:

เหตุผลที่ควรเลิก ‘บุหรี่’

บุหรี่เป็นสิ่งเสพติดที่มีพิษภัยทั้งต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์รวมถึงห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ แต่ยังมีวัยรุ่นบางส่วนที่นิยมสูบบุหรี่ อาจเนื่องจากความคิดที่ว่าดูเท่ โก้เก๋แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ มีเพื่อนหรือคนในครอบครัวสูบบุหรี่ บางคนสูบบุหรี่เพื่อระบายความเครียดจากปัญหาที่เกิดขึ้น



พ่อแม่จึงควรมีบทบาทในการป้องกันลูกวัยรุ่นให้รอดพ้นจากบุหรี่โดย พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่สูบบุหรี่ให้ลูกเห็น ให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่ปราศจากบุหรี่ ไม่ควรให้ลูกเริ่มลองสูบบุหรี่ ให้ลูกรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น การออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก ให้เวลาแก่ลูกเพื่อให้ลูกได้พูดคุยระบายความเครียด รวมถึงมีข้อเสนอแนะและมุมมองใหม่ๆ ที่เหมาะสมแก่ลูก



สร้างความภาคภูมิใจและคุณค่าในตนเองให้กับลูก พูดคุยให้ลูกเข้าใจถึงแนวทางการแก้ปัญหาและคลายเครียดโดยไม่ต้องพึ่งพาบุหรี่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกสามารถคิดตัดสินใจและชั่งใจตนเองก่อนที่จะลองสูบบุหรี่



นอกจากราคาแพงขึ้น ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่ควรจะเลิกบุหรี่ ดังนี้



1. จากสถิติพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่ติดบุหรี่ โอกาสที่ลูกจะติดตามไปด้วยสูงถึงร้อยละ 70 เพราะลูกจะเกิดค่านิยมทางบวกต่อการสูบบุหรี่และเลียนแบบพ่อแม่



2. ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีอัตราการติดเชื้อไวรัสแปปปิลโลมาบริเวณปากมดลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งปากมดลูกที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ มีเปอร์เซ็นต์กลายเป็นมะเร็งปากมดลูกสูง



3. หญิงมีครรภ์ที่สูบบุหรี่มีโอกาสแท้งลูก คลอดลูกก่อนกำหนด หรือทารกตายขณะคลอด



4. เด็กในบ้านที่ผู้ใหญ่สูบบุหรี่มักตรวจพบสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของนิโคติน และสารก่อมะเร็งในน้ำลายและปัสสาวะ มีโอกาสป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ และปอดบวมมากกว่าเด็กในบ้านที่ไม่มีคนสูบบุหรี่



5. โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ แทบทุกโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบและถุงลมโป่งพอง



6. บุหรี่รสเมนทอลผสมที่ทำให้ผู้สูบเย็นคอ แม้จะไม่เป็นพิษต่อร่างกายแต่ก็ทำให้ติดบุหรี่ง่าย เมื่อสูบมากขึ้นจะทำให้รับสารพิษจากควันบุหรี่เข้าสู่ปอดมากขึ้น



7. หลอดพลาสติกหรือโลหะที่ต่อกับก้นบุหรี่ที่สูบอาจกรองส่วนประกอบของควันบุหรี่ที่เป็นอนุภาคขนาดใหญ่บางส่วนได้ แต่ส่วนประกอบที่เป็นอนุภาคเล็กที่เป็นควันจะผ่านก้นกรองไปได้อยู่ดี



8. สารไนโตรเจนออกไซด์ในควันบุหรี่เป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมฉีกขาด และรวมตัวเป็นถุงลมขนาดใหญ่ขึ้น นำไปสู่โรคถุงลมโป่งพอง ผลวิจัยร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองระยะสุดท้ายจะเสียชีวิตใน 10 ปี



9. ผู้สูบบุหรี่จะปรากฏรอยตีนกาเร็วกว่าและมากกว่าผู้ไม่สูบ เนื่องจากนิโคตินทำให้เส้นเลือดทั่วตัว รวมถึงบริเวณผิวหนังหดตัวตลอดเวลา โดยเฉลี่ยผู้ที่สูบบุหรี่จนติดอวัยวะทุกระบบจะเสื่อมหรือแก่เร็วขึ้นกว่าผู้ไม่สูบประมาณ 10 ปี



10. นิโคตินเป็นสารเสพติดมีฤทธิ์กระตุ้นสมองอย่างแรงในระยะแรก แต่ต่อมาจะกดสมองและทำให้ผู้สูบบุหรี่คิดช้าลงหรือคิดไม่ออก ต้องเริ่มสูบบุหรี่ใหม่เพื่อกระตุ้นสมองอีกครั้ง



11. ผู้สูบบุหรี่ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ช่องปาก และลิ้น



รู้อย่างนี้แล้ว จะกลืนควันกันต่ออีกไหม?











ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ป้ายกำกับ: ,

ไขมันพอกตับ โรคร้ายเสี่ยง ตับแข็ง สูง

ระบุ ไม่รักษา ตับจะทำงานผิดปกติส่งผลกระทบทั่วร่างกาย





ปัจจุบันไขมันพอตับกลายเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตับทำงานผิดปกติและอาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด จากข้อมูลทางคลินิกพบว่าคนอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำมีภาวะไขมันพอกตับสูงถึง 50%1 และ 57.7% ตามลำดับ ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปมีประมาณ 25% เป็นไขมันพอกตับ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ ไขมันพอกตับส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยจึงมักจะไม่รู้ตัวหรือไม่ใส่ใจในการรักษา



ไขมันพอกตับคืออะไร...



ไขมันพอกตับใช่ว่าจะมีไขมันพอกอยู่บนตับ หากแต่หมายถึง การสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกิน 5% ของตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งในที่สุด ไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระยะ



- ระยะแรก: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักประมาณ 5-10% ของตับ

- ระยะกลาง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักประมาณ 10-25% ของตับ

- ระยะรุนแรง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักเกิน 30% ของตับ



ไขมันพอกตับส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อรักษาโรคอย่างอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยไขมันพอกตับในระยะแรกหรือแม้กระทั่งพัฒนาเป็นตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แสดงอาการ



ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...



ไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มสุรา การสังเคราะห์ไขมันของตับผิดปกติ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ตับอักเสบจากไวรัส การขาดสารอาหาร ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การตั้งครรภ์ เป็นต้น



ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...



ผู้ป่วยไขมันพอกตับกว่า 50% ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ภาวะไขมันพอกตับก็จะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้:



- รู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา

- เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย

- ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ

- อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง

- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการดีซ่าน (ผิวเหลือง และตาเหลือง) หรือคลื่นไส้ อาเจียน

- ตรวจพบค่าเอ็นไซม์ตับ SGPT, SGOT สูงขึ้น (แสดงว่าตับมีการอักเสบ)

- ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง



แต่อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับไม่อาจวัดด้วยระดับความรุนแรงหรือจำนวนมากน้อยของอาการ เนื่องจากบ่อยครั้งไขมันพอกตับจนเป็นตับแข็งแล้วผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกมีอาการ



ไขมันพอกตับอันตรายเพียงใด



- ทำให้ตับทำงานผิดปกติ

ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกายและเป็นเสมือนโรงงานเคมีของร่างกายทำหน้าที่สำคัญหลายๆ อย่าง เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน ควบคุมการสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บและกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ฯลฯ เมื่อมีเซลล์ไขมันจำนวนมากแทรกอยู่ในเซลล์ตับจะทำให้โครงสร้างภายในของตับแปรเปลี่ยนไปย่อมจะทำให้ตับทำงานผิดปกติและส่งผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย



- ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของโรคเรื้อรังต่างๆ

ไขมันพอกตับใช่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเดี่ยวๆ หากแต่เป็นผลพวงของโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ตับขาดสารอาหาร ตับอักเสบจากไวรัส เป็นต้น ผู้ป่วยไขมันพอกตับจึงมักอยู่คู่กับโรคเรื้อรังหลายอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เกาต์ นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ไขมันพอกตับนอกจากไปเพิ่มความรุนแรงของโรคเรื้อรังเหล่านี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ไม่ดีเท่าที่ควรและยากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับให้กลับสู่ภาวะปกติ



- อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด



หากไขมันพอกตับไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ ตับอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด



ยาลดไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อไขมันพอกตับอย่างไร...



โคเลสเตอรอลในร่างกายคนเรา 80% ขึ้นไปสังเคราะห์จากตับ การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำจะไปกดการทำงานของตับไม่ให้ปล่อยโคเลสเตอรอลเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับสำลักไขมันจนเกิดไขมันพอกตับได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดการใช้ยาเป็นอีกวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาภาวะไขมันพอกตับได้



การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...



การแพทย์จีนได้จัดไขมันพอกตับให้อยู่ในกลุ่มโรคของปวดแน่นชายโครง และระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันบกพร่อง ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารหวานๆ มันๆ และแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับที่ทำหน้าที่ในการระบายพลังชี่ และม้ามที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของพลังชี่และของเหลวข้น (เสมหะหรือไขมัน) ในตับ ทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดในตับติดขัดจนทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด



ถึงแม้ว่าพยาธิสภาพของไขมันพอกตับเกิดขึ้นที่ตับแต่จะส่งผลกระทบ



โดยตรงต่อการทำงานของม้าม ถุงน้ำดีและกระเพาะอาหาร การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำบัดแบบองค์รวมดังนี้:



- ระบายพลังชี่อั้นในตับ ทำให้พลังชี่และเลือดในตับไหลเวียนได้สะดวก ตับจึงกลับมาทำงานได้ปกติรวมทั้ง มีการสังเคราะห์ไขมันในปริมาณที่เหมาะสมด้วย

- ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของม้าม ทำให้มีการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันได้ดีไม่ให้เกิดการสะสมในตับ



ไขมันพอกตับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด..









ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก

ป้ายกำกับ: , , ,

วิ่งตาม ความรัก

สมัยตอนเป็นเด็ก.. จำได้ว่สในวิชาพละศึกษา
คุณครูสั่งให้เราวิ่งรอบสนามกันคนละ 20 รอบ.. เพื่อจับเวลาของแต่ละคน ..
แถมยังมีรางวัลมาล่อใจอีกด้วยว่า.. ใครเข้าเส้นชัยได้คนแรก..
จะมีคะแนนพิเศษเพิ่มให้

พอเริ่มออกสตาร์ท..
ฉันก็สังเกตเห็นเพื่อนหลายคน ..พยายามจะเบียดตัวเอง..ขึ้นมาอยู่แถวหน้าสุด.. เพื่อที่จะได้เปรียบคนอื่นในช่วงออกตัว

แล้วพอครูบอกว่า..วิ่งได้-เท่านั้นแหละ ..
เพื่อนหลายคนของฉัน..ก็วิ่งปรู๊ดออกไปแบบไม่คิดชีวิต

ส่วนฉัน -- โน่น วิ่งอยู่หลังสุด

ไม่ได้ช้า..เพราะเหนื่อย ..หรือเพราะวิ่งไม่เก่ง ..
แต่ฉันกำลังรู้สึกสนุกสนาน..กับการวิ่งจับเวลาซะเหลือเกิน ..
เพราะฉันวิ่งไป- คุยไป ..กับเพื่อนซี้รู้ใจ..แบบไม่สนเวลา ..
ฉันสนใจความสนุกสนาน..ระหว่างการวิ่งมากกว่า

บางที..เห็นคนข้างหน้า..ที่วิ่งนำมาหลายรอบ..กำลังชะลอความเร็ว ..เพราะเหนื่อยหอบ ..
ก็อดที่จะขอวิ่งแซงหน้าบ้างไม่ได้ ..

หรือบางที..หันไปเห็นเพื่อนที่วิ่งรั้งท้ายตลอด..
ก็จะพยายามวิ่งให้ช้าลง ..รอให้เขาวิ่งทัน..จะได้คุยไปด้วยกันหลายๆ คน….สนุกดี

หรือบางที..รู้สึกไม่อยากแซงคนข้างหน้าขึ้นมาเฉยๆ..
เพราะว่าวิ่งตามหลังเขา.. จะได้แอบนินทาเขาได้.. สนุกไปอีกแบบ

จะทำลายสถิติไหม ..ไม่รู้หรอก..
รู้แต่ว่า..วิ่งช้าๆ-มันไม่เหนื่อยเร็ว ..และขอแค่วิ่งให้ถึงเส้นชัย..ก็พอ

*

*

คงคล้ายคล้าย..กับ 'ความรัก' ..กระมัง

ทุกคน..มี 'เส้นชัย' ของตัวเอง ..มีสถิติ-ที่ตัวเองพอใจ

แต่..คนที่เข้าเส้นชัยก่อน ..ใช่ว่า..จะคว้า 'ความรักที่ดี' ได้ก่อนเสมอไป ..
และสถิติที่ดี.. ก็ไม่ได้การันตีว่า.. 'ความรัก' จะสมบูรณ์แบบ

ในขณะที่..สังคมทุกวันนี้..ปลูกฝังให้เราวิ่งแซงคนอื่น ๆ เสมอ ..
สอนว่า...อย่าพยายามให้ใครแซงหน้า..
เพราะนั่นหมายถึง.. ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไป

แต่..สังคมของ 'ความรัก' ..สอนให้คนรู้จักผ่อนจังหวะก้าว..ให้ช้าลง ..แต่หนักแน่นขึ้น

โลกภายนอก..บอกให้เรารู้ว่า ..
'อย่าวิ่งตามใคร..ถ้าไม่แน่ใจว่า..จะตามเขาได้ทัน ..
เพราะมันเสียแรงเปล่า.. และโง่เหลือเกิน'

แต่.. 'โลกของความรัก' ..
ใครอีกหลายคน...สมัครใจที่จะเป็น 'คนโง่'.. เพื่อวิ่งตาม 'คนที่ตัวเองรัก' ให้ทัน
..ทั้งที่รู้แก่ใจว่า.. 'ไม่มีวันนั้น'

………………………………

เพื่อนรักคนหนึ่งของฉัน.. มี 'เส้นชัย' ..ในหัวใจของเธอเอง

คนรักของเธอ..เป็นนักวิ่งฝีเท้าดี ..เพราะตั้งแต่อยู่กันมา ..เขาออกวิ่งก่อนเธอเสมอ ..
ไม่เคยบอกล่วงหน้า.. และไม่เคยชะลอความเร็วลงเลย ..
แต่ความเร็วของเขา..ก็ไม่มากไปกว่า.. 'ความรัก' ที่เธอมี

'ความรัก' ทำให้เธอวิ่งเร็วขึ้น.. ใกล้เขามากขึ้น..
และไม่ยอมปล่อยให้เขาทิ้งระยะ..จนคลาดสายตาเธอ

แต่..เมื่อเกือบที่จะถึงตัวเขา ..เธอก็จะเลือกที่จะ 'วิ่งให้ช้าลง'
..ราวกับว่า..จะวิ่งเหยาะๆ ..ตามเขาไปเรื่อยๆ

เธอแซงหน้าเขาได้ ..แต่เธอไม่ทำ..
แม้แต่จะวิ่งให้ทันเขา-ในแนวเดียวกัน ..เธอก็ทำได้..แต่เธอไม่ทำ

'เหตุผล' ..ที่ฟังดูเหมือนง่ายของเธอ..ทำเอาใจฉันนิ่งงัน

'ถ้าวิ่งให้ทันเขา ..หรือแซงหน้าเขาไป ..ฉันก็คงมองไม่เห็นเขาในชีวิตอีก

แต่ถ้าฉันวิ่งตามเขาห่างๆ แบบนี้ ..เท่ากับว่า..
ฉันยังได้เห็นความเป็นไปของเขา ..ยังมีเขาอยู่ในสายตา ..ในชีวิต

แม้ว่า..เขาจะไม่เคยหันหลังกลับมา.. แล้ววิ่งให้ช้าลงเลย..ก็ตาม'

'แล้วทำไม..ไม่เข้าใกล้เขากว่านี้ ..
ทำไมต้องเว้นระยะห่างแบบนี้ด้วย.. เธอเป็นคนรักของเขานะ'
คำถามของฉัน..ทำให้แววตาของเพื่อนรัก..ปรากฏรอยเศร้า … แต่ปากยิ้ม

'ฉันกลัวเขารู้ตัว.. แล้ววิ่งหนีฉันไป-ไกลยิ่งกว่านี้ ..
ถึงวันนั้น..ฉันอาจเหนื่อยจนหมดแรง..ที่จะวิ่งตามอีกต่อไปแล้ว

ห่างแบบนี้ดีกว่า ..ฉันได้เห็นเขา ..มันอุ่นใจ ..

หรือถ้าวันหนึ่ง..เขาล้มลง… ฉันจะได้วิ่งเข้าไปช่วยพยุงได้ทัน

และถ้ามันจะทำให้เขาเห็น 'ความจริงใจ' ของฉัน ..
เขาอาจจะชวนฉันวิ่งไปพร้อมกันอีกครั้ง.. ถ้าเขาหายดีแล้ว'

*

*

ความรัก..ทำให้คนมีความหวัง..อยู่เสมอ

ในขณะเดียวกัน ..มันก็ทำให้คนบางคน 'โง่งมงาย' เสียเต็มประดา

ถ้าเพื่อน..เลือกที่จะวิ่งออกนอกเส้นทาง.. แล้วไปตั้งต้นใหม่..กับ 'ใครสักคน' ที่เขาพร้อมจะวิ่งไปกับเพื่อน..
ป่านนี้เพื่อนของฉัน..คงเข้าเส้นชัยไปนานแล้ว

แต่..เพื่อนยังคงเต็มใจ..ที่จะวิ่งตามเขาไปเรื่อยๆ

แม้ว่าบางที..อาจจะไม่มีวันนั้น .. วันที่เพื่อนเข้า.. 'เส้นชัยแห่งความรัก'

เพราะบางที….. 'เส้นชัย' ..อาจไม่มีความหมายต่อคนบางคน..
หากว่า..เขาเข้าเส้นชัย ..แต่ได้ทำ 'หัวใจ' หล่นหายไป..ระหว่างทาง

เมื่อ 'ความสุข' คือ… การโง่ที่จะรักและวิ่งตาม

ในสังคมของความรัก… ฉันจึงมองเห็นคนที่ 'วิ่งช้า'
..และปรารถนาจะเป็น 'ผู้ตาม' ด้วยความเต็มใจ..อยู่เสมอ

ความรัก ..ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต

แต่ .. 'ความรัก' ..เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิต....มีค่ามากที่สุด

*

*

ตอนนี้..ก็คงจะพอรู้..

ถึงความรู้สึกของ 'การวิ่งตาม' ..บ้างแล้วนะ..

.
.
.

อยากเป็น 'คนวิ่งตาม'...

โดยที่ไม่รู้จักเหนื่อยบ้าง..เหมือนกัน
ที่มา : Ajjima
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ป้ายกำกับ: ,

9 ไอเดียรัก แฮปปี้เอนดิ้ง

1. ออกเดทพิสดาร ควรชวนเขาไปออกเดทที่แตกต่างจากการนั่งฟังเพลง กินข้าว ดูหนัง เช่น ขับรถเที่ยวต่างจังหวัดแบบวันเดย์ทริป ไม่จำเป็นต้องเลือกสถานที่ๆ คุณชอบเสมอไป การผจญภัยที่แปลกใหม่ จะทำให้คุณและเขาได้เป็นตัวของตัวเอง และสามารถตรวจสอบความสอดคล้องของชีวิตคู่ได้เร็วเกินคาด

2. อัพเดทแนวคิดชีวิตรัก ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีเปลี่ยนแปลง และเป็นไปได้เสมอที่ความรักของคุณและเขานั้นเติบโตไม่เท่ากัน จึงควรหาเวลานั่งคุยกันถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และหากการพูดคุยในแบบตรงไปตรงมานั้นจะหมายถึงการปิดฉากความรัก ก็ควรยอมรับอย่าทู่ซี้ค่ะ แต่ถ้ามันสามารถจะตกลง และร่วมมือกันกำจัดได้ คุณและเขาจะสามารถลดปัญหาอุปสรรคความสัมพันธ์ไปได้อีกหนึ่งข้อ เมื่อแต่งงานกันจริงๆ อาจจะไม่เหลืออะไรที่หนักเหนื่อยให้ต้องแก้ไข

3. ไม่ไหว…จะเคลียร์ ความระแวงคือเชื้อร้าย และบ่อยด้วยสิที่มันมาจากความคิดของเราฝ่ายเดียวแบบไร้หลักฐาน ควรหยิบมันมาคุยกับเขาให้สิ้นเรื่องราว ซักกันให้ใสไปเลยดีกว่า เพื่อความสบายใจ หูตาไสวสว่าง คำแนะนำคือ อย่าทำแบบเล็กๆ น้อยๆ บ่อยๆ ถี่ๆ เอาแบบมีประเด็นดีกว่า ที่สำคัญคือ ถ้าคุณเลือกจะเชื่อและคบกันต่อก็ขอให้การเคลียร์กันนั้นจบและโยนทิ้งไปเลย

4. ประนีประนอมรอมชอมหัวใจ ผู้หญิงใช้อารมณ์และความรู้สึก ในขณะที่ผู้ชายยึดหลักเหตุผลแบบผูกขาด ดังนั้น การสงบสงครามที่ดีและนำไปสู่ข้อตกลงแห่งสันติภาพคือการรับฟังเขา และอ้างอิงเหตุผลประกอบความรู้สึก ผู้ชายมักยอมอ่อนข้อให้เมื่อผู้หญิงแสดงท่าทีอ่อนแอ มุขนี้ใช้ได้ชัวร์ค่ะ

5. ไม่ผูกขาดสปอนเซอร์ อย่า เอาแต่รับ และอย่าเอาแต่ให้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดทุกอย่างแบบหารสองเป๊ะๆ หาโอกาสจ่ายแทนเขาบ้าง ให้เขาจ่ายแทนบ้าง ในโอกาสที่เหมาะสม แนวคิดนี้จะดีในระยะยาวเมื่อคุณทั้งคู่แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน

6. แสดงความซื่อสัตย์และไว้ใจ ทำให้เขาเห็นว่าคุณมีใจเด็ดเดี่ยวในความรัก ไม่วอกแวก หรือสร้างสถานการณ์ให้เขาหึงหวง และพร้อมกันนั้นคุณก็ต้องให้ความเชื่อใจเขาเช่นกัน ด้วยการไม่เข้าไปจู้จี้ สืบค้นปมต่างๆ ของเขา หรือแสดงความเป็นเจ้าของในทุกวาระโอกาส ควรอยู่ด้วยความเชื่อมั่นเพื่อให้ช่วงเวลาที่แชร์กันเต็มไปด้วยความสุข

7. แบ่งปันและรับผิดชอบร่วมกัน อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งต้อง Take Side รับผิดชอบความรู้สึกทุกข์หรือสุขอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมันจะทำให้เกิดสถานการณ์ฟางเส้นสุดท้ายในวันหนึ่ง และต้องเลิกรากันไป บางครั้งคุณต้องยอมลดความสุขในแบบของตัวเองลงบ้าง เพื่อนำมันมาเติมลงในความสุขกองกลาง

8. เปิดอกให้ซบ ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งพิง ให้คำปรึกษาแก่เขาได้เสมอในยามทุกข์ร้อน แนวคิดสำคัญคือ การที่คุณต้องมองทางออกปัญหาในแบบไม่อยู่วังวนเดียวกัน และมอบกำลังใจ ความอ่อนโยน ความเชื่อมั่นให้เขา

9. ผิดไปแล้ว สิ่งที่สร้างความเสียหายให้ชีวิตมากที่สุดคือความเพิกเฉยต่อคำขอโทษ ในกรณีที่เขาผิด การยกโทษให้ดีกว่าทำลืม เพราะไม่มีใครลืมอะไรได้จริงๆ และให้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน อย่าทำให้เกิดซ้ำสอง

ขอขอบคุณบทความ จาก First Magazine
ที่มา : Ern Jar
เจ้าของบทความ : First Magazine

ป้ายกำกับ: , ,

อีกด้านของนิทาน

The Prince...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายองค์หนึ่ง
เขาได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลก
เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ท่องเที่ยวไปหลายประเทศ
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเจอเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
ทำให้เขาหลงรักเธอ และอยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
แต่การที่จะแต่งงานกับเธอได้ต้องผ่านการทดสอบมากมายนานนัปประการ
ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถผ่านการทดสอบเลือกคู่มาได้แต่เพียงผู้เดียว

ทว่า... ก่อนที่เขาจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงนั้น
มีมังกรท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งได้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
เขาได้ออกตามล่าเจ้ามังกรจนตามทันและขับไล่มันได้สำเร็จหลังจากที่ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด
และได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและอยู่อย่างมีความสุขที่ปราสาทของตน...

The Princess...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
เธออยู่ในอาณาจักรที่ห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง
เธอชอบออกไปเดินเล่นในป่าเป็นประจำด้วยความรักที่มีต่อธรรมชาติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับพ่อมดรูปงามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น
ทำให้เธอหลงรักเขา และอยากอยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้...
มีเจ้าชายที่มาจากหลายๆ อาณาจักรเข้ามาขอเธอแต่งงาน
พวกเขาได้ฝ่าฝันกับการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาซึ่งเป็นพ่อของเธอ
ซึ่งในที่สุดก็มีเจ้าชายคนหนึ่งที่สามารถผ่านการทดสอบมาได้แต่เพียงผู้เดียว
ทว่า... เธอไม่ได้รักเจ้าชาย เธอไม่อยากแต่งงานกับเขา ต่อให้พ่อมดจะมีหน้าตาน่ารังเกียจกว่าเจ้าชาย เธอก็ยินดีที่จะเลือกพ่อมดมากกว่าเสียอีก
ก่อนวันแต่งงาน เธอขอร้องให้พ่อมดคนที่เธอรักส่งมังกรมาพาตัวเธอไปให้ไกลๆ
แต่เจ้าชายก็ตามมาทันพร้อมทั้งสู้กับมังกรจนกระทั่งมันพ่ายแพ้บินหนีไปและพาตัวเธอกลับไป
เธอไม่มีโอกาสได้เจอกับคนที่เธอรักอีกเลย ถึงได้แต่งงานแต่ก็ไม่มีความสุข...

The Wizard...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง
เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาก
เขาอยู่ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรมากนัก
ซึ่งในอาณาจักรนั้นมีเจ้าหญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่ด้วย
เขาแอบชอบเจ้าหญิงมานานแล้วแต่เพราะหน้าตาไม่สู้จึงฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเป็นพ่อมด
และก็หาโอกาสออกมาพบกับเจ้าหญิงจนได้
เขาได้ใช้เวทมนตร์เสกให้รูปกายให้งดงามยิ่งกว่าผู้ชายคนไหนในโลก
ซึ่งเจ้าหญิงก็ตกหลุมรักเขา เขาตั้งใจว่าจะให้เธอรักเขาก่อนแล้วค่อยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้...
เขาเกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาแล้วเธออาจจะรับไม่ได้
เขาก็เลยรู้สึกท้อใจ และคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งผ่านการทดสอบเลือกคู่ของพระราชาได้
ทว่า... ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าชายเลย
ก่อนวันแต่งงาน เธอเข้ามาของร้องให้เขาพาเธอไปไกลๆ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน
เขาก็เลยเห็นว่าน่าจะเป็นการดีเลยส่งมังกรพาตัวเธอไปแล้วให้เจ้าชายไปช่วยเพื่อที่จะให้เธอเห็นว่ามีคนที่ดีกว่าเขา
เขาสั่งให้มังกรออมมือให้เจ้าชายและหนีทันทีที่เห็นว่าสู้มานานพอแล้ว แล้วเธอก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายในที่สุด...

''หวังว่าเธอคงจะมีความสุขนะ...''
ที่มา : ปัญชิกา มูลรังษี
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ป้ายกำกับ: , ,

ข้างๆของความรัก

มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ที่โรงเรียน

ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน

เวลาผ่านไป จนทั้งสองอยู่ มหาวิทยาลัย
ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบผู้ชายคนนึง และถามฝ่ายชายว่า

"นี่ เธอว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"
"เค้าก้อหล่อดีนะ นิสัยดีด้วย "
"หรอ อืม อยากให้เค้ามาอยู่ข้างๆเราจังเลยเนอะ"

ต่อมาหญิงสาวก็ได้เป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นจิงๆ
วันนึงหญิงสาวบอกกับเพื่อนสนิทของตนว่า

"นี่ เธอไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว
เราไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิด"
"อืม" ฝ่ายชายตอบรับ และไม่ไปส่งหญิงสาวอีก

ต่อมาหญิงสาวทะเลาะกับแฟนของตน จึงมาปรึกษาเพื่อนชายว่า
"เธอ เด๋วนี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ เธอว่า เราจะทำอย่างไรดีหล่ะ"
"ก้อ เธอยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายตอบ
"รักสิ รักมากด้วย"
"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่น่า"
"อืมม"

หญิงสาวทำตามคำแนะนำของฝ่ายชาย

หลังจากนั้น วันหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่มเดินกลับบ้าน
เค้าเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

"เธอ เป็นอะไรหน่ะ ให้เราช่วยไหม"
"เค้าไม่รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเราที่บ้านเลย"
"แล้วเราจะช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"
"ช่วยอยู่กับเราซักพักได้ไหม"หญิงสาวร้องขอ

ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย
ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

"เราควรจะทำอย่างไรดี เธอจะช่วยเราได้ไหม ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี"
"เธอยังรักเขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"
"รักสิ เรารักเค้ามากเลย"
"ถ้าอย่างนั้นก้อรักเค้าต่อไปสิ"
"แต่เค้าไม่รักเราเลยนี่น่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ
"แต่เธอก็รักเขาไม่ใช่หรอ"
และชายหนุ่มก็ส่งหญิงสาวที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน
"ถ้าเมื่อไหร่ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรานะ"
"อืม" และหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป

ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาว

"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"

เสียงของหญิงสาวดูช่างอ่อนล้า และหมดกำลัง
เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่
ชายหนุ่มไปหาเธอและไปรับเธอมาส่งบ้าน
เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้นเมื่อที่เคยถามมา

"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"
"เธอเลิกรักเค้าแล้วหรอ"
"ป่าว เรายังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่"
"งั้นก็เหมือนที่เราเคยพูดไว้ รักเขาต่อไป
เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเธอไหม แต่ถ้าเธอยังรักเขา
เธอก็คงทำได้แค่รักเขาให้มากขึ้น ให้เขารู้ว่าเธอรักเขา"

วันที่เธอเรียนจบ เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ
เธอแปลกใจมากที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอยังเรียนไม่จบ เธอถามเขาว่าทำไม
ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้เกียจไปหน่อย
ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชาหนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ
หญิงสาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน

ต่อมาแฟนหญิงสาวได้แต่งงานกับหญิงสาว
เนื่องด้วยเห็นถึงความรักที่หญิงสาวมีให้มากมาย
หญิงสาวได้ชวนเพื่อนของตนมางานแต่งของเธอ
"เราไม่ว่างจริงๆ
เราติดธุระหน่ะขอโทษนะ"เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ชายหนุ่มไม่มางานแต่งจึงวางหูใส่
แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจเมื่อวันที่เธอแต่งงาน
ชายหนุ่มได้มาก่อนที่งานแต่งจะจบ

"ยินดีด้วยนะ เรามาแล้วนะ"

หญิงสาวดีใจมากที่เพื่อนของเธอมา ถึงจะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ

ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุขกับชีวิตแต่งงานจนไม่ได้ติดต่อกับชายหน ุ่ม
จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ทะเลาะกับสามีของตน
หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงชายหนุ่มขึ้นมา
แต่แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปเท่าไหร่
ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย

เขาจึงโทรหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น
เพื่อนของชายหนุ่มเล่าว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้
ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาร่วมหลายเดือน
หญิงสาวตกใจมากถามว่าเป็นอะไร
เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการกำเริ่มเพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด
ชายหนุ่มดันหายตัวไป
และเพื่อนชายยังบอกอีกว่า

"เป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ในช่วงเวลาสำคัญๆ
คราวที่แล้วสอบไล่ ก็หายตัวไปจากห้องสอบ"

หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว

หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่มที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องตกใจ
ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มีแรง
เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจทักทายเธอเป็นการใหญ่

"เป็นอย่างไรมั้ง ไม่เจอกันตั้งนาน"

หญิงสาวนิ่งเงียบซักพักน้ำตาหญิงสาวก็ออกมา

"อ้าวร้องไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วหรอ
จะให้เราช่วยอะไรไหม แต่เราก็คงจะแนะนำเหมือนเดิมหน่ะ"

หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วบอกกับชายหนุ่มว่า

"วันที่เธอมารับเราเป็นวันสอบไล่ใช่ไหม"
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้นกลับนิ่งเงียบไป
หญิงสาวจึงพูดต่อ

"และวันที่เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของฉันใช่ไหม"
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม
หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น มองแต่คนอื่น
เรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ไหน
เรารู้สึกเสียใจจริงๆที่ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"

ชายหนุ่มยิ้มขึ้นแล้วบอกกับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

"เราบอกแล้วไง ถ้าเรารักใครซักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ
ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเราหรือไม่หน่ะ
มันสำคัญแค่เพียงว่าเรายังรักเธออยู่หรือเปล่า แค่เราสามารถช่วยเธอได้
นั่นก็เป็นความสุขของเราแล้ว"

หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โห่อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นว่า
"ถ้าเราหายเมื่อไหร่ เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"
ที่มา : เฉพาะกิจ
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ป้ายกำกับ: ,

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

post[22072009]

การนินทาคนอื่น หรือการให้ร้ายคนอื่น หรือการสาบแช่งคนอื่น
มันก็เหมือนกับการเอาเข้าตัวเอาเอง
ทั้งที่เค้าไม่ได้อยู่ด้วย เค้าได้ยินคนเดียว
แต่เราไม่ได้คิดอะไร ช่างเค้าเหอะ คิดไปก็เท่านั้นนะ

ป้ายกำกับ:

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เธอที่หนึ่งในดวงใจ

คิดถึงเธอทุกวัน
แม้ห่างกันไม่นาน
ผมคงรักเธอมาก
อยากให้รู้ว่ารัก

ขั้นตอนการออกแบบสวน(3)

1. หลักศิลปะในการออกแบบสวน
2. เครื่องมือ และการใช้เครื่องมือ สัญลักษณ์ ในการออกแบบแปลนสวน
2.1 เครื่องมือเขียนแบบ
2.2 หลักการเขียนแบบแปลนสวน
3. ขั้นตอนการออกแบบแปลนสวน
3.1 สำรวจสภาพพื้นที่
3.2 สัมภาษณ์ข้อมูลจากเจ้าของสวน
3.3 การเขียนแบบแปลนสวน รูปด้านบน - รูปด้านข้างหรือรูปทัศนียภาพ
3.4 องค์ประกอบต่างๆในการออกแบบแปลนสวน

ป้ายกำกับ:

ขั้นตอนการออกแบบสวน(2)

4.. ใช้วงกลมในการออกแบบ (balloon diagram)

เมื่อทําการวิเคราะห์ข้อมูลเรียงลําดับความสําคัญจากมากไปหาน้อยแล้ว เลือกเอาส่วนที่จําเป็นต้องมีภายในสวน ให้แต่ละส่วน เป็นวงกลม 1 วง นําเอาวงกลมเหล่านั้นวางลงในแปลน เพื่อหา ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ของวงกลม แต่ละวง ระหว่างวงกลมกับตัวบ้าน ดูความ เหมาะสมและประโยชน์ใช้สอยในแบบแปลนนั้น ๆ



5. เขียนแปลน (plan)

แปลน หมายถึง ลักษณะรูปร่างของสถานที่หรือสิ่งของนั้น ๆ โดยมองจากเบื้องบนลงมา (top view) แปลนสามารถบอก รายละเอียด เกี่ยวกับที่ตั้ง ทิศทางและขนาดของสิ่งต่าง ๆ ภายในแปลนทั้งหมด โดยทั่วไปแล้ว แปลนจะแบ่งออกได้หลายชนิด ตามความเหมาะสม คือ

5.1 มาสเตอร์แปลน (master plan) เป็นแปลนที่สมบูรณ์ แสดงส่วนต่าง ๆ ทั้งหมด ในพื้นที่กว้างใหญ่ อาจจะมีเนื้อที่เป็นร้อย ๆ ไร่ก็ได้ มาตราส่วนที่ใช้ในมาสเตอร์แปลนใช้ 1:2000


5.2 ไซท์แปลน (site plan) อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของมาสเตอร์แปลนเนื่องจาก มาสเตอร์แพลนมีขนาดใหญ่มาก ทําให้ขาดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เล็กเกินกว่าจะเขียนลงในมาสเตอร์แปลน ดังนั้นการเขียนไซท์แปลน จะเป็น การขยายบางส่วนของมาสเตอร์แปลนนั้น ๆ หรืออาจจะเป็นมาสเตอร์แปลนเองก็ได้ หากขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก

5.3 ดีเทลแปลน (detail paln) จะใช้ขยายบางส่วนจากไซท์แปลน เพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น การเขียนแบบจะใช้มาตราส่วน 1:20, 1:50, 1:75 หรือ 1:100 และถ้าพื้นที่มีขนาดเล็กดีเทลแปลน ก็อาจจะเป็น มาสเตอร์แปลน ในพื้นที่นั้นเลยก็ได้ เช่น สนามเด็กเล็กในมุมหนึ่งของสวนสาธารณะ สวนบริเวณสามแยกเหล่านี้ เป็นต้น


5.4 สกีมาติคแปลน (schematic plan) เป็นแผนผังแสดงทิศทางการสัญจรและทาง เดิน หรือ ความสัมพันธ์ ระหว่าง จุดต่าง ๆ ในแปลน


5.5 คอนสตรัคชั่นแปลน (construction plan) แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องวัสดุต่าง ๆ ขนาดโครงสร้าง และ สิ่งอื่น ๆ ที่จําเป็น


5.6 แพล้นทิ่งแปลน (planting plan) เป็นแปลนที่แสดงรายละเอียดชนิดและตําแหน่งของพรรณไม้ รวมทั้ง ขนาดและจํานวนของพรรณไม้นั้น ๆ การเขียนแปลนเกี่ยวกับพรรณไม้ จะต้องทราบ ขนาดของทรงพุ่ม เมื่อโตเต็มที่ เพื่อจะได้วางระยะระหว่างต้นไม้ได้ถูกต้อง การใช้สัญลักษณ์แทนพรรณไม้ อาจเลือกใช้สัญลักษณ์ หนึ่งแบบ ต่อพรรณไม้หนึ่งชนิด หรือใช้สัญลักษณ์เดียวกันแต่ใช้ตัวเลขกํากับแทนชื่อพรรณไม้นั้น การใช้พรรณไม้หลาย ๆ ชนิด ควรใช้ตัวเลขบอกถึงชนิดของพรรณไม้โดยอธิบายชนิดของพรรณไม้ตามตัวเลขนั้น ๆ ข้างล่างแบบแปลน ซึ่งจะทําให้อ่านแบบได้ง่ายขึ้น การเขียนแบบแปลนที่ดี และสวยงาม ไม่สมควร มีอะไร ที่ยุ่งยาก มากเกินไป ตําแหน่งของสิ่งสําคัญต่าง ๆ ควรทําให้เด่นชัด โดยใช้หมึกที่มี เส้นหนัก และใช้หมึกเส้นเบา กับสิ่งทั่ว ๆ ไปส่วนของสนามหญ้าใช้เส้นเบาลงสีให้สวยงามเหมือนจริง เพื่อให้มองเห็นแล้ว สามารถคิดคล้อย ตามภาพนั้น ๆ ได้

5.7 เสตคจิ้งแปลน (staging plan) เป็นแปลนที่แสดงขั้นตอน ในการก่อสร้างของ มาสเตอร์แปลนโดยเรียงความสําคัญ หรือความจําเป็นจาก มากไปน้อยตามลําดับ เนื่องจากงบประมาณจะจ่ายเป็นงวด ๆ ของงานนั้น ๆ การเขียนแปลนจะช่วยให้ผู้ดูเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของการออกแบบ รู้ถึงจุดต่าง ๆ ตลอดความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งในการเขียนแปลนนี้ หากจะทําให้ผู้ดูเข้าใจแจ่มชัดขึ้น ก็ควรจะ
เขียนทัศนียภาพ (perspective) ด้วย เพราะภาพ perspective จะมีลักษณะเหมือนภาพถ่าย ซึ่งภาพนี้อาจจะเขียนด้วย ลายเส้นขาวดํา หรือจะลงสีให้มีสีสรรเหมือนจริงก็ได้

ป้ายกำกับ:

ขั้นตอนการออกแบบแปลนสวน

ขั้นตอนการออกแบบแปลนสวน

การออกแบบ (design process) จัดสวนมีขั้นตอนของการออกแบบเพื่อให้ผู้ออกแบบได้เข้าใจถึงสถานที่และจุดประสงค์ของเจ้าของ การออกแบบ จะเป็นเรื่องไม่ยากสําหรับผู้ที่คุ้นเคย กับงานทางด้านการออกแบบ แต่สําหรับผู้ที่เริ่มเรียนรู้และ ไม่ค่อยได้จับดินสอ วาดรูปก็จะเป็นการยาก ซึ่งการปฏิบัติเพื่อออกแบบจะยากกว่า การเรียนรู้ในเรื่องทฤษฎีอย่างมาก ในการออกแบบครั้งแรกอาจจะยุ่งยาก ติดขัด แต่ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะเริ่มง่ายขึ้นเป็นลําดับ โดยทั่วไป หลักการในการออกแบบสวน มีขั้นตอนดังนี้

1. สํารวจสถานที่ (site analysis)

เป็นการสํารวจหาข้อมูลของสถานที่ให้มากที่สุด ผู้ออกแบบจะต้องศึกษาสภาพภูมิประเทศของสถานที่นั้น ๆ ข้อมูลที่ควรทราบ คือ

1.1 สภาพภูมิอากาศ บริเวณนั้นมีอากาศร้อนหนาว แห้งแล้ง ชื้น มากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่ได้จะทําให้สามารถเลือกใช้พรรณไม้ได้ถูกต้อง นอกจากนี้บริเวณดังกล่าวส่วนไหนจะได้รับแสงสว่างมากน้อยอย่างไร ฝนตกชุกหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลในเรื่องการระบายนํ้าจากพื้นที่ ทิศทางลมเป็นอย่างไร ลมพัดแรงจนทําให้พรรณไม้เสียหายหรือไม่


1.2 บริเวณพื้นที่ สภาพดินเป็นอย่างไร เป็นกรด ด่าง ดินเหนียว ดินร่วน หรือดินปนทราย ลักษณะพื้นที่สูงตํ่ามากน้อย จะต้องถมดินตรงไหน ขนาดของพื้นที่กว้างยาวเท่าไร อยู่บริเวณไหนของบ้าน


1.3 ทิศ ทิศเหนืออยู่ทางไหน การรู้ทิศจะช่วยให้ทราบเรื่องแสงสว่างและทิศทางลม ซึ่งส่งผลในการกําหนดพรรณไม้และสิ่งอื่น ๆ


1.4 สิ่งก่อสร้าง ลักษณะอาคาร รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ในบริเวณนั้นเป็นลักษณะใด เพราะการออกแบบจัดสวนจะต้องให้กลมกลืน และเสริมให้อาคารสถานที่นั้นสวยงามเด่นสง่า รวมทั้งเกิดประโยชน์ใช้สอยอย่างเต็มที่


1.5 พรรณไม้เดิม มีมากน้อยอยู่ในตําแหน่งใด รวมทั้งชนิดของพรรณไม้นั้น ๆ ในการสํารวจสถานที่ ผู้ออกแบบอาจจะเขียนแปลนคร่าว ๆ โดยรวมว่าตัวอาคาร บ้านและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ตั้งอยู่อย่างไรในบริเวณที่จะจัดสวน เพราะการจัดจะต้องมีความกลมกลืน
ระหว่างสวนกับบ้าน อาคารและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ข้อมูลที่ได้จากการ สํารวจสถานที่จะนํามา หาความสัมพันธ์จากภายนอกสู่ภายใน และจากภายในอาคารสู่ภายนอก หาจุดเด่นในสวน ที่ภายในจะมองออกมาได้ชื่นชมความงามของสวน

2. สัมภาษณ์เจ้าของสถานที่ (client analysis)

เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับความชอบ รสนิยม รวมทั้งงานอดิเรกต่าง ๆ ของสมาชิกในครอบครัว หรือสถานที่นั้น ๆ ข้อมูลที่ได้จะโดยการสอบถาม สังเกต รวมทั้งการพิจารณาจากสภาพทั่ว ๆ ไป เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ

ลักษณะของสวน ชอบสวนแบบใด เป็นสวนธรรมชาติ สวนญี่ปุ่น หรือสวนนํ้า เป็นต้น
เวลาที่จะใช้ในการดูแลรักษาสวน มีมากน้อยเพียงใด เจ้าของบ้านชอบการทําสวนหรือไม่
สมาชิกในครอบครัวมีจํานวนเท่าใด เพศหญิง/ชาย เด็ก/ผู้ใหญ่ ต้องการทําที่เล่น สําหรับเด็กหรือไม่ สมาชิกในครอบครัวชอบเล่นกีฬา ทําสวน ทําอาหารนอกบ้านฯลฯ
ต้องการมุมสงบ เพื่อใช้พักผ่อนหรือไม่
แนวโน้มในอนาคตต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานที่เหล่านี้อย่างไร
รสนิยมเรื่องสี และวัสดุอื่น ๆ เป็นอย่างไร
ความชอบเรื่องพรรณไม้ ในเรื่องของดอก สีดอกเป็นอย่างไร
งบประมาณที่จะใช้จัดสวนประมาณเท่าใด ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จะทําให้รู้ถึงความต้องการของเจ้าของ
3. วิเคราะห์ข้อมูล (data analysis)

จากการสํารวจสถานที่และสัมภาษณ์ข้อมูลต่าง ๆ จากเจ้าของแล้ว นําข้อมูลทั้งหมดมาแยกเป็นส่วน ๆ จัดเรียงลําดับความสําคัญ จากมากไปหาน้อย ข้อมูลความต้องการของเจ้าของอาจจะมีมากกว่างบประมาณ หรือไม่สัมพันธ์กับ แบบของสวน ก็อาจจะต้องเลือก สิ่งที่จําเป็นก่อน สิ่งใดที่มี ความจําเป็นน้อย หรือใช้สิ่งอื่นที่จําเป็นกว่าทดแทนได้ก็ตัดทิ้งไป ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จะช่วยให้การจัดสวน ตอบสนองความต้องการประโยชน์ใช้สอยของเจ้าของ แต่ในเรื่องความสวยงามจะเป็นหน้าที่ที่ ผู้ออกแบบ จะต้องเลือก ชนิดของพรรณไม้และองค์ประกอบอื่น ๆ ให้สัมพันธ์กันเช่น ในครอบครัว มีคนชราซึ่งต้องการที่พักผ่อนเดินเล่น ก็จะต้องจัดสวน ให้มีทางเดินเท้าไปสู่จุดพักผ่อน มีสนามหญ้าให้ความสดชื่น หากมีเด็กเล็กก็ต้องการพื้นที่เล่นภายนอก ก็อาจจะต้องมีบ่อทราย ชิงช้า ไว้บริเวณ ใกล้บ้านและหากต้องการแปลงไม้ดอก แปลงพืชผักสวนครัว ก็จะต้องหาจุดที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ ในเรื่องงบประมาณหากวิเคราะห์ข้อมูลคร่าว ๆ แล้วจะเกินงบประมาณ ที่วางไว้ ก็อาจจะต้องหาสิ่งอื่นทดแทน ตามความเหมาะสม

ป้ายกำกับ: